Friday 31 October 2008

เกาะขอบสนามเกมปาฎิหารย์จ่าแฮร์รี่ ที่เอมิเรตส์สเตเดี้ยม




‘น่าจะยิงคืนมาตั้งนาน ก่อนที่ใจของฉันจะวายอยากให้มันมีปาฏิหารย์ให้เกมนี้ต่อเวลาออกไป จะไม่ทำให้แฟนเสียใจ จ่าแฮร์รี่อาจจะพบ5ประตูก่อนใคร มันน่าเสียดาย(แต่)ปาฏิหารย์จ่ามีจริง’ !!


วันนี้ขออนุญาติดัดแปลงเนื้อร้องพี่กบ ทรงสิทธิ์เล็กน้อยครับหลังผมอารมณ์ดีเป็นพิเศษที่สเปอร์สทีมรักบุกไปขโมย1 แต้มสุดล้ำค่าจากลูกทีมของอาร์เซน เวนเกอร์ได้ถึงถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมในเกม‘นอร์ทลอนดอน ดาร์บี้แมตช์’ เมื่อกลางดึกวันพุธที่ผ่านมา

สุดย๊อดด.....บอกได้คำเดียวครับว่าสุดยอดจริงๆสำหรับอารมณ์ร่วมของผมที่มีต่อเกมนี้เพราะถือเป็นลอนดอนดาร์บี้แมตช์ที่ผมรอคอยมา25ปีเต็ม ฝันมานานครับว่าวันนึงจะได้มานั่งดูเกมอาร์เซนอล VS สเปอร์สสดๆจากขอบสนาม

บรรยากาศในทีวีสมัยอยู่เมืองไทยว่า ‘เยี่ยม’แล้ว แต่ขอบอกคอบอลทุกท่านเลยว่าครั้งนึงในชีวิตหากมีโอกาส อย่าได้พลาดการตีตั๋วมาดูบอลสดๆที่อังกฤษถึงขอบสนามครับ รักทีมไหนดูทีมนั้นเลือกเกมที่ท่านฝันกัดฟันเก็บเงินสักก้อนมาดูเถอะราคาค่าตั๋วเท่าไร ผมว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรมากหากเทียบกับ‘ประสบการณ์’และ ‘ความรู้สึกดื่มด่ำ’ ที่ได้จากเกมฟุตบอลที่ท่านรัก

นี้ถือเป็นเกมแรกที่ จ่าแฮร์รี่ของผมเทค์ชาร์จการเป็นกุนซือสเปอร์สครั้งแรกนัดก่อนกับโบลตันถือว่าไม่นับนะครับเพราะลุงจ่าแกออกมาบอกแล้วว่าเกมนั้นการจัดตัวเลือกผู้เล่นและแท็คติกส์เป็นของ ไคลฟ์ อัลเลนหนึ่งในแบ็ครูมสตาฟฟ์ของสเปอร์ส ตัวเค้าแค่เข้ามายืนให้กำลังใจเด็กๆข้างสนามเท่านั้น

อย่างที่เรียนไปนัดก่อนแค่เดินเข้าไปพูดกับลูกทีมไม่กี่ประโยคก่อนและระหว่างเกมนักเตะไก่เดือยบวมกลับเล่นได้ผิดฟอร์มจากสมัยฆวนเด้ รามอสเป็นกุนซือหน้ามือเป็นหลังเท้า นักเตะหลายคนยอมวิ่งสู้ฟัดกะว่าตายคาสนามก็ยอมกะว่าเล่นเอาโล่ห์รางวัลและชุดไก่เคเอฟซีที่ผู้พันแซนเดอรส์ภูมิใจเป็นสปอนเซอร์ไม่คิดเงิน เอ้ยไม่ช่าย !! ให้มันสมกับเงินค่าตัวแพงระยับที่นาย ดาเมี่ยล โคโมลี่ซึ่งโดนเฉดหัวไปแล้วอุตสาห์ซื้อมาหน่อย 55

ผมเชื่อว่า ฆวนเด้ รามอส,กัส โปเยต์รวมถึงสต๊าฟชุดก่อนคงงงเป็นไก่ตาแตกที่เห็นอดีตลูกทีมตัวเองโชว์ผลงานระดับมาสเตอร์พีชนี้ออกมาให้เห็นในเกมกับอาร์เซนอลทั้งที่ก่อนหน้านี้เล่นกันสุดปัญญาอ่อน ,ทีมเวิรก์ไม่มี,ขาแข้งนักเตะอ่อนปวกเปียก+ ทำฟาลว์คู่แข่งแบบเสร่อๆ มีให้เห็นครบ !

สตาฟฟ์ชุดเก่าออกไปไม่ถึงอาทิตย์ทีมลงเตะสองแมตช์เก็บได้ 4 คะแนน ไม่ให้เรียกเตะไล่โค้ชแล้วจะเรียกว่าอะไรดีละครับเนี่ย เหอๆๆ

เกมนี้ผมไปถึงเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมก่อน ‘คิกออฟ’ประมาณชั่วโมงครึ่งกะว่าจะไปเดินเล่นเพื่อไปเก็บบรรยากาศ ‘นอร์ท ลอนดอนดาร์บี้’รอบๆสนามเสียหน่อยอยากรู้ว่าจะคึกครื้นขนาดไหน

ปรากฎว่าเงียบสงัดยังกับป่าช้า! ผิดคาดเลยเพราะอากาศข้างนอกหนาวเข้ากระดูกนั่นเองแฟนบอลของทั้งสองทีมจึงหมกตัวอยู่ในผับกันเพื่อตักสุราบิ๊วอารมณ์ก่อนเกมจะเริ่ม ผมก็เลยขอตัวไปบิ๊วมั่งใน Press Loungeของอาร์เซนอลนั้นแหละวันนั้นล้างท้องไม่กินข้าวกลางวันไปเลยนะกะว่าไปกดที่อาร์เซนอลเต็มที่เลยเพราะอาหารของนักข่าวสนามนี้ถือว่า‘เริ่ด’หากเทียบกับสนามสเปอร์ส เวสต์แฮม หรือ ฟูแล่มที่อาหารบอกตามตรงครับว่าไม่มีความอร่อยเลยซักนิด แซนด์วิชเย็นชืด เค้กก็ไม่มี ผลไม้เด็ดๆก็ไม่เห็น(เรื่องกินสำหรับผมเรื่องใหญ่ครับ ฮ่าๆ)

หม่ำเสร็จจนท้องกางอัดเข้าไปทั้งพายไก่รสเยี่ยม มันบด สตอร์เบอร์รี่หวานฉ่ำตามด้วยเบียร์ Kronenbourgและไอศครีมโฮมเมดลุงเบนแอนด์เจอร์รี่ก็ได้เวลาเดินเข้า Press Boxเพื่อนั่งชมเกม

เดินเข้ามายังไม่ทันจะหาที่นั่งเจอสัมผัสรับรู้ทั้งห้าของผมก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศเชียร์บอลที่อึกทึกฟังแล้วขนลุกซู่ แฟนบอลยอดผู้ชมเต็มความสนามของทั้งสองทีมไม่รู้บิ๊วสุรากันเยอะเกินไปรึเปล่าแต่ละคนหน้านี่แดงก่ำ มีเสียงเท่าไรก็ตะเบงมันออกมาจนเจ็บคอแทนกะว่ารุ่งขึ้นไม่ต้องไปทำงานทำการกันเลยใช่มั้ย??

เกมนี้นักเตะที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษเป็นใครไปไม่ได้ครับนอกจากเดวิด เบนท์ลี่ย์อดีตศิษย์เก่าปืนโตที่เทหัวใจน้องไก่ตั้งแต่อ้อนแต่ออกโดนโห่ทุกจังหวะที่ได้บอล ช่วงแรกเกมเริ่มต้นด้วยความระมัดระวังของทั้งสองทีมจนกระทั่งจังหวะที่ดูเหมือนไม่มีอะไรกลับทำให้ได้เรื่องเมื่อเจอร์เมน จีนัสกัปตันทีมที่สันหลังยาวที่สุดตั้งแต่พงศาวดาลลูกหนังเคยมีมากระดกบอลให้ปีกร่างทรงของเดวิด เบ็คแฮมจับบอลนึงจังหวะก่อนง้างเท้าหวดบอลในแบบไดร์ฟชู๊ตของกัปตันซึบาสะ

‘มันจะบ้าหรอวะเนี่ย’ ห้วงเวลานึงของความคิดผมแวบขึ้นมาแต่สายตายังจดจ้องภาพลูกบอลติดไซต์มุดหนีมือมานูเอล อัลมูเนีย 1-0 แฟนเจ้าบ้านเงียบสงัดราวกับไม่มีใครอยู่ แฟนสเปอร์สกลุ่มน้อยในสนามอึ้งไปสองวินาทีก่อนเฮกันสุดฤทธิ์แบบไม่เกรงใจเจ้าถิ่น ผมอยากกระโดดลิงโลดตามประสาแฟนไก่นะครับแต่บอกตรงๆว่ามิกล้าเพราะข้างหน้ามีแต่บาทาแฟนอาร์เซนอลทั้งนั้นเลยต้องนั่งนิ่งๆแต่ในใจชื่นบานเหมือนพวกโรคจิต!

‘อดทนไว้เอกกลับบ้านค่อยเฮก็ยังไม่สาย’ผมได้แต่บอกตัวเองในใจ

สเปอร์สมาเสีย 2ประตูในช่วงปลายครึ่งแรกและต้นครึ่งหลังจากจังหวะเซตพีช เตะมุมลูกนึงฟรีคิกจากข้างสนามอีกลูกนึง ฮูเรลโญ่ โกเมสคนเดิมสมัยที่อยู่พีเอสวีหายไปไหน...ใครก็ได้ตามนายทวารฉายา ‘Octopus’กลับเดอะเลนที !

สเปอร์สมาโดนลูกที่สามเพิ่มไปอีกแต่สากกระเบือฝังเพรชอย่างดาร์เรน เบนท์ยิงไล่มาเป็น2-3 ก่อนที่นาทีถัดมาอลัน ฮัตตัน ‘บ่อน้ำมัน’ประจำเกมนี้ส่งบอลพลาดให้อเดบายอร์หน้าตาเฉยก่อนหอกโตโกไหลต่อให้เดอะแมน ฟาน เพอร์ซี่ยิงยัดด้วยขวาเข้าไปไม่เหลือซากเจ้าบ้านนำ4-2โดยที่ไม่มีใครคาดคิดว่าหนังเรื่องนี้จะจบลงแบบ‘หักมุม’ทำร้ายจิตใจ สาวก‘เดอะกันเนอร์ส’ขนาดนี้...

นาทีนั้นผมเชื่อว่าแฟนสเปอร์สถอดใจกันหมดแล้วสังเกตุได้จากแฟนบอลสเปอร์สเริ่มเดินออกจากสนาม ผมเองก็อยากจะกลับบ้านให้รู้แล้วรู้รอดอารมณ์วัยรุ่นเซ็งมาเยือนยิ่งซัดเบียร์เข้าไปด้วยการเห็นแฟนบอลคู่อริดิ๊ด๊าอยู่ข้างหน้าจำนวนหลายหมื่นคนส่งเสียง If you hate Tottenham, Stand up. ครั้งแล้วครั้งเล่ามันเจ็บแปล็บไปถึงทรวงยิ่งว่าโดนหญิงหักอกอีกครับ


แต่แล้วปาฏิหารย์ของจ่าแฮร์รี่ก็แผลงฤทธิ์จนได้เมื่อจีนัสปั่นโค้งด้วยเท้าซ้ายยิงไล่มาเป็น3-4และแอร่อน เลนน่อลซ้ำลูกยิงของลูก้า โมดริชที่อัดไปชนเสาแล้วเด้งเข้าทางปีกจรวดปาดบอลเข้าไปเสมอ 4-4 ช็อคคนทั้งสนามและคาดว่าทั้งโลกเช่นกัน เพราะนิยายเรื่องนี้ของเวนเกอร์ที่อุตสาห์พลอดเรื่องมาอย่างเนียนกำลังจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งอยู่แล้วกลับโดน ‘ขโมนซีน’ โดยลุงจ่าแฮร์รี่ เรดแนปป์ที่กลับมาฟื้นฟู ‘ความมั่นใจ’ของนักเตะสเปอร์สได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง

บทสรุปของเกมนี้ก็คืออาร์เซนอลนั้นเล่นSmooth attacking footballหรือบอลสไตล์ไหลลื่นดูเนียนตาและเหมาะสมกับ3แต้มเป็นที่สุดแต่เรื่อง‘ตลกร้าย’ของลูกกลมๆที่ผมเรียนหลายครั้งแล้วว่าอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้กับเกมฟุตบอล ทำให้สเปอร์สมีวันนี้ เก็บ1คะแนนสุดล้ำค่ามาช่วยเพิ่มขวัญและกำลังใจของนักเตะก่อนเกมหน้าจะต้องเปิดบ้านรับการมาเยือนของทีมสัตว์ปีกด้วยกันอย่าง‘หงส์แดง’ลิเวอร์พูลในวันพรุ่งนี้
การเข้ามาเพียงไม่กี่วันของ‘ลุงจ่า’สเปอร์สกลับดูมีราศีได้ขนาดนี้

ผมเชื่อแล้วละครับว่า Life is about confidenceจริงๆ...

Thursday 30 October 2008

The Beautiful Game is over

สภาพอากาศที่ลอนดอนช่วงนี้หนาว สุดขั้วอย่างไม่มีเหตุผลบอกกล่าวกันล่วงหน้าครับ หิมะตกโปรยปรายหน้าตาเฉยตอนเที่ยงคืน วันอังคารทั้งๆที่ตอนเที่ยงวันแดดยังออกเปรี้ยง ! จะป่วยเอาครับเจออากาศเพี้ยนๆแบบนี้....

ขณะที่ปั่นต้นฉบับนี้อยู่ (เช้าวันพุธ) นั่งตัวร้อนรุ่มเหมือนไข้หวัดกำลังจะมาเยือนผมอีกครา ครับหลังจากโหม อ่านหนังสือเตรียมสอบกลางภาคอย่างหนัก + ทำงานจนดึกดื่นเวลาพักผ่อนช่วงนี้น้อยเหลือเกิน ยังไงถ้าข้อเขียนผมช่วงที่ผ่านมาออกเหวอๆ ไปบ้างก็ขออภัยด้วยนะครับ

นั่งเปิดเว็บหาข่าวเพื่อจับประเด็นมาเล่าสู่กันฟังก่อน ที่ผมจะออกไปเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมเพื่อชม "ลอนดอนดาร์บี้" แมตช์ระหว่างอาร์เซนอล VS สเปอร์สช่วงหัวค่ำ ก็บังเอิญไปเจอหัวข้อข่าวกรอบเล็กๆของหนังสือพิมพ์ "การ์เดี้ยน" เกี่ยวกับเรื่องค่าแรงขั้นต่ำของพนักงานในสโมสรชั้นที่ได้รับน้อยจนน่าตกใจ

ตามกฎหมายของประเทศอังกฤษ "ค่าแรงขั้นต่ำสุด" ของพนักงานรายวันคือ 5.52ปอนด์/ชั่วโมง (ก่อนหัก Tax) ล่าสุดผลการสำรวจจาก The Fair Pay Network พบว่าพนักงานทำความสะอาด พ่อครัวแม่ครัวหรือเด็กเสิรฟ์ใน Canteen ของสโมสรชั้นนำในเมืองหลวงสุดศิวิไลซ์อย่างลอนดอนทั้งเชลซี สเปอร์ส อาร์เซนอล เวสต์แฮมหรือฟูแล่มต่างพร้อมใจกันจ่ายค่าแรงให้สตาฟฟ์พวกนี้เทียบเท่าหรือเกินขั้นต่ำไป นิดหน่อยซึ่งถือจุ๋มจิ๋มมากหากเทียบกับรายรับมหาศาลของทีมเหล่านี้ในแต่ละปี !

ข้อมูลของมูลนิธิการกุศลอย่าง Joseph Rowntree Foundation พบว่าประชาชนในอังกฤษที่อยู่ด้วยตัวคนเดียวไม่มีภาระ ครอบครัวจะต้องรับรายได้จากการทำงานขั้นต่ำ(Living wage)ก่อนหักภาษี 7.45 ปอนด์ต่อชั่วโมง(ในลอนดอน) และ6.80 ปอนด์(นอกลอนดอน) หรือประมาณ13,400 ปอนด์ต่อปี ถึงจะอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำในการดำรงชีพและหากมีคู่และมีลูกสองคนนั้นจะต้องมีค่าใช้จ่ายถึง 370 ปอนด์ต่อสัปดาห์
นักฟุตบอลแข้งทองค่าเหนื่อยเป็นแสนปอนด์ต่อวีก, รายรับCEOฟุตบอลอย่างขี้หมูขี้หมาของก็แตะหลักล้านปอนด์ต่อปี (ปีเตอร์ เคนย่อน/1.9m เดวิด กิลล์/1.48m ริค แพร์รี่/1.12m)หรือริชาร์ด สคูดามอร์ ซีอีโอของพรีเมียร์ลีกเองรายรับก็ไม่น่าจะทิ้งกันเท่าไร

จากภาพรวมเราจะเห็นได้ว่ารายได้ของนักเตะและบอร์ดบริหารช่างต่างกันราวฟ้ากับเหวเมื่อเทียบ กับรายรับต่อชั่วโมงอันน้อยนิดของแรงงานตาดำๆในสโมสรซึ่งก็เหนื่อยไม่แพ้กัน พวกรวยอยู่แล้วก็รวยเอาๆส่วนพวกที่อยู่ข้างล่างก็อดมื้อกินมื้ออย่างนั้นหรือ...

ความยุติธรรมอยู่ตรงไหน ??

จะว่าไม่มีเงินจ่ายก็ไม่ใช่เพราะ "พรีเมียร์ลีก" ถือเป็นแบรนด์ระดับโลกซึ่งกระแสเงินที่ไหลเข้ามาหล่อเลี้ยงกว่า 1.9 พันล้านปอนด์เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ถือว่าเป็นตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้นทุกๆ ปี อันเนื่องมาจากการขายตั๋วที่เพิ่มขึ้น, รายได้จากสปอนเซอร์ รวมถึงการขายลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดไปทั่วโลก

ครับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและรับผิดชอบโดยตรงในเรื่องนี้อย่างบอริส จอห์นสันนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนก็ไม่ได้อยู่เฉยเพราะต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ร่างจดหมายถึง 5 สโมสรชั้นนำในลอนดอนเพื่อออกกฎบังคับให้สโมสรฟุตบอลเป็นตัวอย่างของ องค์กรที่ดีด้วยการเริ่มจ่ายค่าแรงขั้นต่ำ 7.45 ปอนด์ต่อชั่วโมง

รู้มั้ยครับฟีดแบ็กเรื่องนี้เป็นอย่างไร ? โฆษกอาร์เซนอลออกมาแถลงการณ์ว่า "สโมสรได้ดำเนินการจ่าย London Living wage ตามคำสั่งของท่านผู้ว่าฯลอนดอนเป็นที่เรียบร้อยแต่จะมีผลกับเฉพาะ พนักงานประจำเท่านั้นไม่รวมลูกจ้างชั่วคราว"

ส่วนแมนฯยูฯทีมร่ำรวยที่สุดในโลกนี่หนักกว่าคอมเมนต์เรื่องความต่างของเงินเดือนระหว่างเดวิด กิลล์และพนักงานแผนกจัดเลี้ยงได้เห็นแสบกว่าโดยพูดประมาณว่าความสามารถของกิลล์นั้นทำเงินกว่า 210 ล้านปอนด์ต่อปี คนแบบนี้หายากและสโมสรก็ไม่ได้ทำผิดกฎเพราะจ่ายเรตค่าจ้างตามราคาขั้นต่ำของตลาดแรงงาน

ความจริงก็คือแมนฯยูฯและอาร์เซนอลไม่ผิดหรอกครับที่ออกมาคอมเมนต์อะไรแบบนี้... ก็แค่ทำให้ผมเสียความรู้สึกนิดหน่อย

ประเด็นเล็กๆเรื่องค่าแรงขั้นต่ำของกลุ่มคนเล็กๆในสโมสรฟุตบอล ได้สะท้อนเป็นกระจกบานใหญ่ของธุรกิจฟุตบอลยุคโลกาภิวัฒน์(Globalisation) ให้ผมได้เห็นและตระหนักถึง "ข้อเสีย" ที่มาพร้อมกับความสนุกสนานในการชมฟุตบอล

ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปมากเหลือเกิน ฟุตบอลลีกเสียความเป็นตัวตนไปไม่เหมือนเก่า

พรีเมียร์ชิพอยากมีนัดที่ 39, ปรากฏการณ์ "ปลาใหญ่กินปลาเล็ก" ของสโมสรยักษ์ใหญ่ที่นับวันยิ่งห่างชั้นกับทีมเล็ก , ความสำคัญของแฟนบอลท้องถิ่นที่นับวันจะถูกลดความสำคัญไปทุกที, การเข้ามาของนักเตะต่างชาติที่บดบังรัศมีแข้งดาวรุ่งในประเทศ ฯลฯ

เกมฟุตบอลที่สวยงามกำลังจะจากโลกใบนี้ไปแล้วครับ...

Wednesday 29 October 2008

สเปอร์สเลือกเรดแนปป์... ตอกย้ำระบบDiector of Football ไม่เวิร์กในอังกฤษ!


มีหลายเรื่องราวเลยทีเดียว ที่เกิดขึ้นกับวงการฟุตบอล ช่วงต้นสัปดาห์ ที่ผ่านมาทั้งผลการประกาศ ทีมยอดเยี่ยม แห่งปีของสหพันธ์นักฟุตบอลอาชีพ นานาชาติหรือ ฟิฟโปรและ ตำแหน่งนักเตะ ยอดเยี่ยมของ คริสติอาโน่ โรนัลโด้ที่คว้ารางวัล ไปนอนกอด ตามคาด หลังจากซัดไปเน้นๆ 42 ตุง พาทีมผีแดง คว้าดับเบิลแชมป์ (แชมเปี้ยนส์ลีก&พรีเมียร์ชิพ), ปรากฏการณ์ "ไอ้เสือร้าย" ฮัลล์ ซิตี้ที่ยังเดินหน้า เซอร์ไพรส์ใคร และใครได้แบบต่อเนื่องหรือ "สื่ออังกฤษ" จับผิดโรนัลโด้ว่า ไม่มีความสุขกับแมนฯยูไนเต็ดฯลฯ
อย่างไรก็ดีผมคิดว่าคงไม่มีข่าวไหน เซอร์ไพรส์ไปกว่าการที่สเปอร์สสั่งปลดฆวนเด้ รามอสแบบสายฟ้าแลบก่อนแต่งตั้งแฮร์รี่ เรดแนปป์เป็นกุนซืออีกแล้ว...


นับได้ว่าเป็นปฏิบัติการดัด หลังกุนซือได้ฉับไว และเงียบเชียบตามสไตล์ท่านประธานเดเนี่ยล เลวี่เค้าละถนัดนักเรื่องแทงข้างหลังกุนซือ คราวก่อนมาร์ติน โยลอุตส่าห์ทำทีมได้ที่ 5 สองปีติด ถัดมาอีกซีซั่นเล่นไม่ดีหน่อยนึงโดนปลดซะงั้น

เคสของรามอสก็เช่นกันบอกตามตรง ครับว่าเห็นใจ อดีตกุนซือเซบีญ่าไม่น้อย เนื่องจากโดยประวัติและ ผลงานในอดีตแล้วถือเป็นกุนซือฝีมือดี แท็กติกส์เยี่ยมแต่การเข้าสวมหัวโขนที่ไวท์ ฮาร์ทเลนถือว่าผิดที่ผิดเวลาไปหน่อยด้วยปัจจัยหลายอย่างเช่น การที่สเปอร์สให้ผู้อำนวยการฟุตบอลอย่าง ดาเมียน โคโมลลี่ซึ่งไม่มีความรู้เรื่องแท็กติกส์ในสนามมา ทำหน้าที่จับจ่ายใช้สอยสนุกมือโดยที่ตัวกุนซือได้แค่นั่งมองตราปริบๆ และทำหน้าที่พาทีมซ้อม+จัดตัวลงสนาม

ทีมเสียบาลานซ์พอเริ่มแพ้ติดๆ นักเตะก็พลอยเสียขวัญ และกำลังใจไปด้วย รามอสเองก็ผิดที่ไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่น นักเตะกลับมาได้ผลก็เลยเป็นอย่างที่เห็น ทัพไก่โดนยำจนเสียศูนย์จมปลักอยู่ท้ายตารางอย่างที่เห็น

ส่วนเรื่องความเฮี้ยบเกินพิกัดของเจ้าตัวในเรื่อง ของการคุมอาหารจนนักเตะสองสามรายที่ไม่ประสงค์ออกนาม (แต่คาดว่าหนึ่งในนั้นน่าจะมีทอม ฮัดเดิลสตัน) ถึงกับบ่นว่าหมดแรงยามลงเตะ บวกความเป็นกุนซืออ่อนภาษา สื่อสารไม่ค่อยรู้เรื่องต้องใช้กัส โปเยต์มาเป็นล่ามสั่งการอีกทอด ก็เป็นประเด็นสำคัญที่หลายฝ่ายมองข้ามไปแต่ผมกลับเชื่ออยู่ลึกๆ ว่านี่แหละคือสาเหตุที่นักเตะเล่นแบบไล่กุนซือในช่วงหลัง
ครับ เมื่อความสัมพันธ์ของกลุ่มคนสองฝ่ายมีความคิดที่ไม่ไปในทิศทางเดียวกันเมื่อไร ความแตกแยกในทีมจึงเกิดขึ้นกับยักษ์หลับจากย่านลอนดอนเหนือทีมนี้


สื่ออังกฤษเชื่อถือได้อย่าง "เทเลกราฟ" รายงานว่า เลดลี่ย์ คิง, โจนาธาน วู้ดเกตและเจอร์เมน จีนัส สามซีเนียร์เลือดผู้ดีเข้าพบผู้บริหารทีมเพื่อแจ้งให้ทราบถึงสถานการณ์ในห้องแต่งตัวว่านักเตะ สเปอร์สได้สูญเสียความเชื่อมั่นที่มีต่อเฮดโค้ชเลือดสแปนิชผู้นี้แล้ว

นั่นคือ "ฟางเส้นสุดท้าย" ที่ถูกตัดลงโดยสามผู้เล่นคนสำคัญของทีม กล่าวคือฆวนเด้ รามอสโดนแทงข้างหลังทั้งจากประธานสโมสรและนักเตะในทีมนั้นเอง

ยอมรับโดยดุษฎีว่าส่วนตัวผมไม่ค่อยปลื้มท่านประธานสเปอร์สรายนี้สักเท่าไรเนื่องจากต้นตอของปัญหา ทั้งหมดเกิดขึ้นจากการที่เลวี่เลือกเลือกปรับโครงสร้างของสโมสรเมื่อ 7 ปีก่อน ด้วยการปรับมาใช้ Director of Football หรือผู้อำนวยการกีฬาเข้ามาจัดการทำหน้าที่ซื้อขายนักเตะ ในตลาดเพื่อแบ่งเบางานกุนซืออย่างที่ทีมต่างๆ ในยุโรปเค้าทำกัน

ช่วงแรกที่เป็นแฟรงค์ อาร์เนเซ่นเข้ามาทำหน้าที่นี้ดูแล้วเหมือนจะเข้าท่า เพราะเจ้าตัวมีคอนเน็กชันเยอะดึงนักเตะชื่อดังฝีเท้าดีหลายต่อหลายคนเข้ามาสู่ชาย คาสเปอร์สได้เทรนด์นี้จึงเริ่มฮิตติดลมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ปัจจุบันเวสต์แฮมมีจิอันลูก้า นานี่ นิวคาสเซิลมีเดนนิส ไวส์ เป็น Director of football แล้วเป็นไงครับ? สุดท้ายกุนซืออย่างอลัน เคอร์บิชลีย์ประกาศลาออก เควิน คีแกนอยู่ไม่ได้เพราะโดนข้ามหัวตลอดเรื่องการซื้อ-ขายนักเตะในทีม

ฆวนเด้ รามอสถือเป็นเหยื่อรายล่าสุดของ ระบบที่ว่านี้...คิดว่าจากนี้หลายทีม ในอังกฤษคงเริ่มตระหนักถึงข้อเสีย ผู้อำนวยการกีฬากันมากขึ้นหาก ไม่อยากทำให้สโมสรต้องเดือดร้อนแบบไม่จำเป็น

สเปอร์สเองก็ประกาศจุดยืน ชัดเจนแล้วว่าจะกลับไปใช้ระบบเดิมที่ให้อำนาจเด็ดขาด ในการซื้อนักเตะแก่ผู้เป็นกุนซืออีกครั้ง ผมเองในฐานะแฟนสเปอร์สก็ขอชื่นชมเลวี่ที่อย่างน้อยแกก็ไม่ดื้อดึงยึดติดกับความเชื่อ ส่วนตัวแต่คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนร่วมมากกว่าขอปรบมือให้

ฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมอและสเปอร์สก็ชนะในลีกกับเค้าซะทีเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาเมื่ออัดโบลตันไป 2-0 ทั้งๆ ที่จ่าแฮร์รี่กุนซือใหม่ยังไม่ได้ลงมือจัดทีมเองเลย แค่เข้าไปพูดกระตุ้นเด็กๆ ที่ห้องแต่งตัวก่อนเกมสเปอร์สกลับเล่นได้หน้ามือเป็นหลังตีนแบบนี้บอกตามตรงว่า งงเต็ก !

ข่าวคราวนอกสนามถึงเวลานี้เรดแนปป์ไปดึงเควิน บอนด์มาเป็นหนึ่งในแบ็ครูมสตาฟฟ์เป็นที่เรียบร้อย รายต่อไปหากไม่มีอะไรผิดพลาดน่าจะได้เด็กเก่าในเล้าไก่อย่างทิม เชอร์วู้ดมาช่วยอีกแรงน่าสนใจไม่น้อยครับกับยุคใหม่ของสเปอร์ส ภายใต้การบริหารของกุนซือ ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ในพรีเมียร์ชิพว่าจะดีขึ้นมากน้อยขนาดไหน

ค่ำคืนนี้ผมมีคิวไปสนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมเพื่อชมเกมอาร์เซนอลเปิดบ้านพบสเปอร์ส บอกตามครับว่าตื่นเต้นสุด ๆ กับการที่จะได้ชมการคุมทีมของกุนซือหน้าง่วง แบบติดสนามเป็นครั้งแรกในฐานะผู้จัดการสเปอร์ส

บรรยากาศจะดุเดือดสมเป็นลอนดอน ดาร์บี้แมตช์หรือไม่อย่างไรนั้นจะมาเล่าให้ฟังในวันศุกร์นะครับ โปรดติดตาม : )

Tuesday 28 October 2008

หงส์แดง...ได้เวลาแชมป์แล้วหรือยัง ?


"ถึงเวลาเราจะห่างกันมากขึ้นแต่ระยะห่าง ของหัวใจเรา ยังใกล้กันเหมือนเดิมนะจ๊ะ" ผมหวานใส่ "เธอคนนั้น" ที่เมืองไทยก่อนโดนหาว่าผมควรจะไปทำงาน โรงลิเกน่าจะ เหมาะกว่าการเป็นคอลัมนิสต์ฟุตบอลเป็นไหนๆ หลังจากบอก เธอว่าเวลาของอังกฤษและประเทศไทยจะต่างกัน 7 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นต้นไป ^_^

ยังไงก็...อย่าเพิ่งอ้วก กันนะครับแค่ต้องการจะบอกว่าคอบอลบ้านเรา ต้องดูบอลช้าขึ้นอีกหนึ่งชั่วโมงแต่ไม่รู้จะ เอาเรื่องอะไรขึ้น ต้นเลยเอามุกลิเกเรียกพี่เนี่ยแหละเกริ่นนำซะเลย ฮ่า

สำหรับวันอาทิตย์ที่ผ่านมาคิวดูฟุตบอลของผมนั้นถือเป็น "บิ๊กเกม" ให้ตัวเองครับเพราะ ได้มีโอกาสไปชมคู่เชลซีพบลิเวอร์พูล ที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ ดีใจมากมายตามประสาคนบ้าบอล...

การเดินทางไปสนามจากบ้านย่าน Earl's court ของผมก็เลยถือว่าสะดวกมาก เพราะนั่งรถไฟไปแค่สองสต็อปก็ถึงแล้ว เกมนี้เตะเวลา 1.30 ที่อังกฤษตื่นมาจึงมีเวลานั่งอ่านข่าว สเปอร์สปลดรามอสฟ้าผ่าก่อนเกมกับโบลตันแล้วจึงออกไปหม่ำ Breakfast ที่ห้องทำงานของนักข่าว
ไฮไลต์ก่อนเกมนี้นั้นราฟาเอล เบนิเตซประกาศเสียงดัง ฟังชัดครับว่าพร้อมจะพาลูกทีมมาหยุดสถิติไร้พ่าย 86 นัด ของเจ้าถิ่น ทำเอาผมถึงกับตะขิดตะขวงใจไม่น้อยว่าหงส์แดงจะ ทำได้หรือในวันที่ขาดหัวหอกหมายเลขหนึ่งของทีมอย่างเฟอร์นานโด ตอร์เรส ?

เกมนี้ราฟาและลูกทีมตอบคำถามนี้ของ ผมแบบสะอาดหมดจดยิ่งกว่า น้ำยาล้างจานซันไลต์เมื่อออกนำไป ก่อนจากลูกยิงที่ถือว่าเฮงเล็กๆ เมื่อชาบี้ อลอนโซ่ยิงไปแฉลบโจเซ่ โบซิงวาเข้าไปในนาทีที่ 10 และตลอดทั้งเกมก็โชว์ฟอร์มได้สมราคาคุย ที่กุนซือสมองเพชรชาวสแปนิชว่าไว้จริงๆ

นอกเหนือจากการหยุดสถิติในบ้านสุดหรูของเชลซีแล้ว เกมนี้ยังถือเป็นการส่งสัญญาณจากหอ กระจายข่าวที่แอนฟิลด์ไปถึงอีกสอง ทีมเต็งอย่างแมนฯยูไนเต็ดและอาร์เซนอลไปในตัวด้วยว่า ปีนี้หงส์แดงคงจะไม่หลุดจากวงโคจร การลุ้นแชมป์ง่ายดายเหมือนในอดีตอีก

การคัมแบ็กแบบเหนือชั้นในเกมพลิกกลับมาเอาชนะทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มิดเดิลสโบรห์ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และวีแกน คงแสดงให้เห็นนะครับว่าพวกเค้ามีจิตใจที่มุ่งมั่น และกระหายต่อความสำเร็จขนาดไหนและคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ ที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้บังเกิดได้หลายต่อหลายครั้งในช่วงเวลาที่ใกล้กันแบบนี้

เกมนี้ก็เช่นกันที่นักเตะพลังหงส์เล่นได้ยอดเยี่ยม ไม่แพ้นัดที่เอาชนะแมนฯยูไนเต็ดเลย เพราะเปี่ยมไปด้วยวินัยในเกมรับ ความทุ่มเทของนักเตะทุกคนในสนาม และการเล่นที่ดูเป็นระบบ ระเบียบผิดหูผิดตาจากหงส์แดงปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง

เชลซีหลังจากเสียประตูแรกไปเร็ว ตลอดทั้งเกมก็พยายามครองบอล ถ่ายบอลไปทั่วสนามเพื่อดึงผู้เล่นของหงส์แดง ออกมาจากแอเรียอันตรายเพื่อหาจังหวะเข้าทำแบบไม่หยุดหย่อน แต่ทว่าการขึ้นนำไปก่อนในเกมที่ต้องเล่นเป็นทีมเยือนแบบนี้มันเลย ช่วยให้เกมของหงส์แดงเล่นได้อย่างสบายใจขึ้นไม่กดดันเพราะมีตุนอยู่แล้ว 1 ประตู

ขณะที่เชลซีหลายต่อหลายจังหวะ ดูร้อนรนกันไปเองเมื่อ โดนแผงกองกลางของลิเวอร์พูลวิ่งเข้าเพรสซิ่งทำลายจังหวะ นักเตะอย่างแลมพาร์ด เดโก้ สองมิดฟิลด์โฟร์เอสสร้างสรรค์ เกมนี้โดนสั่งประกบไม่ให้ตั้งหลักตั้งลำได้เลยเพราะชาบี้ อลอนโซ่และฮาเวียร์ มาสเคราโน่นั้นคอยตามติดเป็นเหาฉลาม คุณไปไหนผมไปด้วย ชวนทะเลาะตลอดเกมทำเอาแลมพ์และเดโก้ซึ่งไร้อิทธิฤทธิ์ไปเลย ทำหน้าเป็นตูดลิงตอนจบเกมเพราะ ไม่ได้เล่นเกมที่ตัวเองถนัด ฮ่า

เมื่อสองตัวอันตรายในแดนกลางเชลซีโดน ประกบติดมันก็เลยเป็นที่มาของการบังคับทางอ้อม ให้ผู้เล่นเชลซีต้องสาดบอลยาวใส่กำแพงเหล็กของทีมเยือน สาดไปแล้วก็เด้งกลับมาหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งจาก Press Box ที่ผมนั่งอยู่ก็เห็นชัดครับว่าบิ๊กฟิล สโคลารี่นั้นหงุดหงิดมากทีเดียว ที่ปากเปียกปากแฉะบอกนักเตะว่าให้เน้นบอล เรียดกับพื้นแต่นักเตะไม่ฟังเลยตะบี้ตะบันโยนมันเข้าไปจนนักข่าวฝรั่งที่นั่งข้างๆ สองสามคนยังบ่นประหลาดใจที่เห็นเชลซีเล่นแบบนี้

มีจังหวะนึงฮามากครับ บิ๊กฟิลเรียกจอมทัพคู่บารมีอย่างเดโก้ไป กระซิบพึมพำอะไรไม่ทราบแต่ผมเดาว่าน่าจะกระซิบ ให้เล่นบอลกับพื้นมากขึ้น เดโก้ผงกหัวหงึกๆ เหมือนจะรู้เรื่องแต่ถัดไปอีกไม่กี่วิเท่านั้นครับ มิดฟิลด์เลือดฝอยทองได้บอลเสร็จ เพื่อนใกล้ๆ มีไม่จ่าย แกเลือกโยนยาวแล้วดันพลาดทำเอาบิ๊กฟิลนอตหลุดตะโกนออกมา "โอ้มายก็อด!" พลางส่งสายตาอาฆาตพยาบาทจนเดโก้ที่แอบเหลือบหน้า มามองเจ้านาย ถึงกับจ๋อยเลยทีเดียว ที่สอนอยู่ไม่ทันไรเอ็งเอาอีกแล้ว อ้ายเดโก้เอ้ยย !!??

มุมนึงก็เห็นใจนักเตะเชลซีนะครับที่โดนบีบจนเล่นบอล กับพื้นไม่ถนัด เพราะเซตบอลเข้าถึงจุดเข้าทำอันตรายทีไร ก็โดนแนวรับหงส์แดง ตามติดไม่ให้โอกาสตั้งป้อมยิงแถวสองหรือผ่านบอลสวยๆ ตามช่องเลย
การยืนตำแหน่งของแนวรับหงส์แดงนั้นทำการ บ้านมาได้ดีมากเชลซีเลยไม่มีทางเลือกต้องบอมบ์ให้ กองหน้าไปวัดดวงเอาอย่างที่เห็นและแผงหลังลิเวอร์พูลซึ่งนำโดยเจมี่ คาร์ราเกอร์และดาเนี่ยล แอกเกอร์ก็เหนียวซะ นี่ไม่รู้ว่ามาร์ติน สเคอร์เทลกลับมาจะเบียดตำแหน่งคืนได้มั้ย น่าสนใจครับ

เมื่อบุกแล้วเจาะไม่เข้าหน้าเป้าอย่างอเนลก้าโดนตัดออกจากเกม ผลการแข่งขันก็เลยออกมาอย่างที่เห็นเชลซีพ่าย ในลีกคาบ้านเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี...ปล่อยให้แฟนตัวเองเดินคอตกกลับบ้านโดยทันทีที่ฮาวเวิร์ด เว็บบ์เป่านกหวีดหมดเวลาการแข่งขัน มีแฟนเชลซีรายนึงวิ่งหลุดมาในสนามหวัง จะเล่นงานนักเตะหงส์แดงยังดีที่การ์ดของ สนามคว้าตัวไว้ได้ทันไม่อย่างนั้นเกมนี้ไม่ใครก็ใครสักคน ของทีมหงส์แดงอาจมีเจ็บตัว
ภาพแห่งความชื่นมื่นของเหล่าแฟนบอลเดอะค็อปที่ตาม มาเชียร์ถึงขอบสนาม จำนวนหลายพันคนในเกมนี้เดินออก จากสนามร้องรำทำเพลงอย่างมีความสุข ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาอ่อนๆ ประหนึ่งว่าวันเวลาแห่งความยิ่งใหญ่ของพวกเค้ากำลังจะมาถึงในเร็ววันนี้

นานเหลือเกินที่พวกเค้าไม่ได้สัมผัสแชมป์ลีก...ถึงเวลาหรือยังที่แฟนหงส์จะได้เดินฉีกยิ้มอย่างเต็มภาคภูมิเสียที ?

Friday 24 October 2008

Winning Ugly คุณสมบัติที่แชมเปี้ยนต้องมี

เห็นภาพ "กัปตันกระดูกเหล็ก" จอห์น เทอร์รี่กระโดดเขกทำประตูเอฟซี โรม่าได้ในนาที 75 เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมาส่งเชลซีขึ้นแท่น เป็นจ่าฝูงกลุ่ม A ศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีกรอบแบ่งกลุ่ม แล้วนั่งคิดครับว่าขนาดในเกมที่เต็มไปด้วย ความอึดอัดและน่าที่จะจบลงด้วย ผลเสมอก็ยังอุตส่าห์เก็บ 3 คะแนนได้จนเผลออุทานออกมาว่า...

"อะไรมันจะเฮงขนาดนั้น เล่นไม่ดีก็ยังชนะ" ผมคงอุทานเสียงดังไปหน่อยจนเพื่อน ที่บ้านซึ่งเป็นแฟนเชลซีแอบ ค้อนควับก่อนสวนกลับ "ดีกว่าสเปอร์สคุณละกาน เล่นไม่ดีซ้ำยังไม่มีดวง ฮ่าๆ" มันเดินฉีกยิ้มจากไปแบบสบายอารมณ์ ปล่อยให้ผมนั่งอึ้งกิมกี่งงว่ามันจงเกลียดจงชัง อะไรน้องไก่แช่บ๊วยอะไรนักหนา แค่อิจฉาเสียงดังแค่นี้ทำเป็นเคือง ^^

ครับแม้เกมนี้เชลซีจะไม่ได้เล่นฟุตบอลสไตล์สวยงามอย่างที่หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่คุยเอาไว้ก่อนเกมแต่เชื่อได้ว่าลึกๆ แล้วแฟนบอลเชลซีคงให้อภัยเฮียแกแน่นอนกับชัยชนะแบบ Winning Ugly แบบนี้ เนื่องจากถ้าเกมนี้เอาชนะไม่ได้ขึ้นมาพวกเค้าก็จะมีแค่ 5 คะแนน นำหน้าทีมอันดับสองอย่างคลูจเพียงแค่ 1 คะแนน มากไปกว่านั้นจะส่งผลให้ทีมอันดับสามและสี่อย่าง โรม่าและบอร์กโดซ์ กลับมามีลุ้นเข้ารอบและสิงห์ไฮโซจะหืดขึ้นคอทันที เพราะว่าสามนัดสุดท้ายเป็นเกมที่ต้องออกไปเยือนถึงสองครั้ง

ความแตกต่างของเกมนี้ แทบจะไม่มีให้เห็นเลยนะครับเพราะเกมสูสีกันเกือบทั้ง 90 นาที บางจังหวะทีมเยือนจากโรมที่มีฟรานเชสโก้ ต๊อตตี้ยืนค้ำเป็นหน้าเป้าคนเดียวก็อันตรายน่า ดูเหมือนกันเพราะเก๋าเกมและเซตบอลให้เพื่อนได้สวยๆ หลายครั้ง ซึ่งแท็กติกส์สไตล์อิตาเลียนแท้ๆ ก็เกือบจะเพียงพอให้ลูกทีมของลูชาโน่ สปัลเล็ตติบุกมาแบ่งแต้มตามเป้าหมายได้ ถ้าเชลซีไม่มีมนุษย์เหล็กที่ชื่อเทอร์รี่อยู่ในสนาม...
บทบาทเซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่แข็งแกร่งประดุจกำแพงเสริมใยเหล็ก หาข้อผิดพลาดแทบไม่เจอแม้อาการบาดเจ็บ ที่หลังจะทำให้ต้องเข้าโรงหมอเกือบตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา และพลาดสองเกมคัดบอลโลกกับทีมชาติเมื่อสัปดาห์ก่อน

แต่ความเจ็บปวดของเทอร์รี่จากการพลาดจุดโทษ ในนัดชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีกที่กรุงมอสโกฤดูกาลก่อนยังคงวนเวียนอยู่ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเทอร์รี่ถึงอยากเล่นให้ดีที่สุดกับเชลซี แรงกายแรงใจที่ทุ่มลงไปนั้นก็เพื่อเติมเต็มความฝัน ในการยืนถือถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีกนั้นเองครับ ผมเชื่ออย่างนั้น

นอกจากนี้บทบาทผู้นำสนามก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เชลซีมีผลงานสุดแจ่ม ขนาดนี้เพราะเทอร์รี่เปรียบเสมือนศูนย์รวมความเชื่อมั่นในยามที่ทีมเจอสภาวะความกดดัน นาย "เจที" นี้แหละครับสามารถทำได้หมดทั้งโชว์ให้เห็นถึงความทุ่มเท 200 % ในสนาม ตะโกนสั่งการกระตุ้นเพื่อนราวกับว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้แล้ว รวมถึงปลดล็อกชัยชนะได้เองด้วยกับการขึ้นมาเติมยิงประตูสำคัญๆ ให้ทีมเหมือนในเกมกับโรม่า
เชื่อได้เลยครับว่าเกมกับลิเวอร์พูลในวันอาทิตย์นี้หากเชลซียังเล่นได้แข็งแกร่ง แบบนี้แม้ตัวผู้เล่นตัวหลักบางรายจะยังเจ็บอยู่ก็ตาม แต่ผมว่าโอกาสที่ทีมหงส์แดงจะบุกมาชนะนั้นโอกาสน้อยเหลือเกินหากราฟาเอล เบนิเตซและขุนพลหงส์แดงไม่ท็อปฟอร์มจริงๆ โอกาสบุกมาชนะถือว่ายากมากครับ

เกมล่าสุดของทีมหงส์แดงในการออกไปเยือนแอตเลติโก มาดริดคงต้องเรียนตามตรงว่าน่าเสียดายมากที่ไม่สามารถเก็บ 3 คะแนน เข้ากระเป๋าได้ทั้งๆ ที่อุตส่าห์ได้ประตูขึ้นนำเร็วจากร็อบบี้ คีน ซึ่งเกมนี้ไปยืนหน้าเป้าตัวเดียวในเกมที่ราฟาเอล เบนิเตซเลือกที่จะดรอปเดิร์ค เคาท์ไว้ข้างสนามและส่งยอสซี่ เบนายูนลงสนามแทนในตำแหน่งริมเส้นด้านขวา

การขึ้นนำแล้วผ่อนเกมจนน่ากลัว + เล่นถอดตัวสำคัญออกถือเป็นสาเหตุที่ทัพเรดแมชีนเก็บได้แค่หนึ่งคะแนน โอเคการถอดคีนน้อยและชาบี้ อลอนโซ่ออกเพราะมีปัญหาบาดเจ็บจริงถือว่าพอรับได้ แต่การพักกัปตันอย่างสตีเฟ่น เจอร์ราร์ดออกทั้งที่ไม่มีอาการบาดเจ็บและใส่ไรอัน บาเบิ้ลลงซึ่งเล่นเกมรับไม่ดี มันก็เหมือนกับการที่นักมวยแรงเริ่มอ่อนการ์ดเริ่มตกเดินถอยหนีตีวงอย่างเดียว ไม่มีการปล่อยหมัดไว้แย็บขู่ให้คู่ชกกลัวมันก็ต้องรอโดนหมัดน็อกสถานเดียวละครับ นี้ดีนะที่เกมนี้หงส์แดงไม่แพ้กลับมา ไม่เช่นนั้นแล้วนึกสภาพไม่ออกเลยจริงๆ ว่าราฟาจะโดนสับเละขนาดไหนกับการเปลี่ยนตัวแบบนี้

เอาล่ะครับผมเชื่อว่าแฟนๆ ลิเวอร์พูลยังพอรับได้กับผลเสมอในเกมนี้ เพราะทีมยังอยู่สถานการณ์ที่ไม่เลวเลยเมื่อครองตำแหน่งจ่าฝูงกลุ่ม D ร่วมกับแอตเลติโก มาดริดอยู่ (มี 7 คะแนนเท่ากัน) โดยเกมหน้าพวกเค้ามีคิวเปิดบ้านรับการมาเยือนของขุนพลตราหมีบ้าง คิดว่าทัพหงส์แดงจะเล่นสวยงามหรือไม่แฟนบอลคงไม่ว่าขอแค่เก็บ 3 คะแนน เพื่อการันตีการเข้ารอบต่อไปอย่างที่เชลซีแสดงให้เห็นก็น่าจะเพียงพอแล้วนะครับ

Thursday 23 October 2008

ผจญภัยที่แมนเชสเตอร์ (จบ)

ต่อจากเมื่อวานนะครับ ผม,โจ และจี มาถึงร้าน Thai Banana เพื่อขอความช่วยเหลือในยามที่จนตรอกไม่มีทางเลือกแล้ว ในเวลาที่เข็มนาฬิกาใกล้จะเฉียดเที่ยงคืนรถเมล์เริ่มหดผู้คนเริ่มหาย ช่างเปล่าเปลี่ยวเอวังเสียเหลือเกิน...
‘เอาว่ะ ดีกว่าต้องนอนที่ชานชาลา’ ผมตัดสินใจที่จะเป็นคนเอ่ยปากกับพนักงานในร้าน
‘สวัสดีครับ เอ่อ...ไม่ทราบพวกพี่พอจะรู้จักที่พักละแวกนี้บ้างมั้ยฮะพอดีว่า ผมกับเพื่อนหามาหลายที่แล้วเต็มหมดเลย’

‘นั่งก่อนน้อง พี่ไม่คิดเงิน’ พี่เด็กเสิร์ฟปล่อยมุขพร้อมยกโค้ก 3 แก้วมาให้ สอบถามว่าเป็นไงมาไงถึงได้หลงมาอยู่ที่หน้าร้านเค้าได้ พอได้เห็นท่าทีที่เหนื่อยอ่อน+ทราบเรื่องสุดอนาถของพวกเราเท่านั้นละครับ พนักงานในร้านทุกคนต่างก็กุลีกุจอรีบโทร.หาเพื่อนที่รู้จักเช็กโรงแรมกันให้วุ่นทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ญาติมิตรก็ไม่ใช่

15 นาทีผ่านไปยังไม่มีความคืบหน้า จนกระทั่งพี่ผู้หญิงคนไทยในร้านคนนึงพูดมาว่า ‘สงสัยต้องโทร.หาหลวงพี่ส่งนอนวัดศรีฯแล้วทีนี้’ ให้ตายเถอะครับ ผมนึกว่าแกพูดเล่นแต่เปล่าเลยพี่แกโทร.ไปวัดจริง ๆ สุดท้ายหลวงพี่ที่วัดขอสายผมบอกให้มานอนได้

อารมณ์ดีใจปนอึ้งเล็ก ๆ ไม่คิดว่าจะโชคดีได้รับความช่วยเหลือดีขนาดนี้ ความรู้สึกมันซาบซึ้งใจจนไม่สามารถหาคำไหนมาอธิบายได้ พวกเราได้แต่กล่าวคำขอบคุณพร้อมจะขอตัวนั่งแท็กซี่ไปวัดกันเอง เนื่องจากรู้สึกเกรงใจมาก ๆ แต่พี่แอนนาเชฟไทยร้าน Take away จีน แกมีรถจึงอาสาขับไปส่งพวกเราที่วัด โชคสองชั้นของผมและเพื่อนจริงๆที่ได้มาเจอกลุ่มคนไทยน้ำใจงามในต่างแดนแบบนี้

หลังจากขับหาวัดอยู่นานเนื่องจากพี่แอนนาก็ไม่ค่อยคุ้นเส้นทางขับหลง อยู่ประมาณเกือบชั่วโมงเนื่องจากแถวนั้นมืดมาก ในที่สุดเราก็เจอบ้านเล็ก ๆ หลังนึงมีป้ายแปะว่าวัดศรีรัตนารามพี่แอนนาบอก ‘ถึงแล้วนี่แหละวัดพี่ส่งพวกน้องๆแค่นี้เดินทางกันดี ๆ โชคดีนะจ๊ะ’

พี่แอนนาคงเหนื่อยมากเพราะก็ดึกมากแล้ว ล่ำลากันเสร็จเราก็พบ พระสงฆ์อินเดียรูปหนึ่งพูดไทยไม่ค่อยชัดพาเราไป ห้องพักที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างดีสำหรับพวกเราสามคน หลวงพี่รูปนั้นแนะนำว่าห้องน้ำห้องท่าอยู่ไหนและก็ขอตัวขึ้นไปจำวัดต่อ แต่เราก็ไม่อาบน้ำหรอกนะครับจังหวะนั้นหลับเป็นตายกันทุกคน ฮ่า

6 โมงเช้าวันรุ่งขึ้น จีปลุกผมบอกว่าตื่นได้แล้วเพราะเราต้องเข้าไปในตัวเมือง เพื่อขึ้นรถโค้ชไปลิเวอร์พูลกันต่อ ตื่นมาได้สักพักก็เจอพี่จิต (พี่ผู้หญิงที่มานั่งสมาธิที่วัด) และหลวงพี่ปกานนท์เดินเข้ามาทักทายและชวนไปสวดมนต์รอบเช้า+นั่งสมาธิกัน

นานมากแล้วครับ ที่ผมไม่เคยได้นั่งท่องบทสวดมนต์นาน ๆ แบบนี้ บทสวดบางบทที่เคยท่องจนคล่องสมัยเด็ก ๆ ก็เริ่มเลือนหายไปพร้อมกับกาลเวลา...บางครั้งหลายสิ่งหลายอย่างก็ทำให้ชีวิตคนเราทุกวันนี้ดูวุ่นวาย เป็นทุกข์ อยากมี อยากเก่ง อยากได้จนลืมไปแล้วว่า ‘ความสุขที่แท้จริง’อยู่ตรงไหน ?

ผมรู้สึกสบายใจและหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยนะครับที่ได้กลับมาสู่พื้นฐานของความสงบ ไร้ซึ่งความว้าวุ่นใจอีกครั้ง แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตามที
เราได้นั่งสนทนาธรรมคุยถึงเรื่องเหตุการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยทุกวันนี้ ปัญหาความแตกแยกของคนไทยที่ต่างคนต่างก็มี ‘ทิฐิ’ อยากได้มาซึ่งชื่อเสียงเงินทองจนหลายครั้งหลายหนมันเกินขอบเขตทำให้ส่วนรวมต้องวุ่นวาย บาดเจ็บ ล้มตายอย่างที่เห็น

ผมตั้งใจไว้แล้วนะครับ ได้กลับไทยครั้งหน้าอยากจะกลับไปบวชเดินธุดงค์ในป่าสักเดือนตามที่หลวงพี่ปกานนท์แนะนำ เพราะท่านเห็นว่าเด็กสมัยใหม่ช่วงหลังบวชแค่พอเป็นพิธีและไม่ได้ลงลึกไปถึงพระธรรม บวชแปบ ๆ ก็สึกไม่ได้เข้าถึงพระธรรมคำสั่งสอนอย่างถ่องแท้

ให้มันสมกับที่พ่อผมเคยบวชเรียนเป็นเวลาเกือบยี่สิบปีเสียหน่อย เดี๋ยวญาติพี่น้องจะหาว่าลูกไม้นี้หล่นไกลต้น ^^

พวกเรานั่งทานข้าวต้มที่พี่จิตเตรียมไว้ให้พร้อมลาหลวงพี่ พระปกานนท์ออกเดินทางเข้าตัวเมืองแมนเชสเตอร์กันต่อ ก่อนออกหลวงพี่ยังแอบแซวว่า ‘ถ้าคราวหน้าคราวหลังโยมจะมาพักอาตมาแนะนำให้บุ๊กอินแอดวานซ์น่ะ’ ฮ่าๆอายได้ป่ะ หลวงพี่!

เรานั่งรถเมล์เข้าเมืองต่อด้วยจับรถโค้ชไปลิเวอร์พูลเพื่อเยือนถิ่นแอนฟิลด์ของ ลิเวอร์พูลและกูดิสันปาร์คของเอฟเวอร์ตันกันต่อทีแรกตั้งใจว่าจะไปเยือน The Beatles Museum เพื่อชมแบนด์ขวัญใจผมด้วย แต่คำนวณเวลาแล้วกลัวจะไม่พอเดี๋ยวตกรถขากลับลอนดอนจะวุ่นวายเอาเปล่าๆเลยไม่อยากเสี่ยงอีก

ตัวเมืองลิเวอร์พูลในวันที่ไม่มีแมตช์แข่งนั้นเงียบเหงาราวกับป่าช้าครับ ถ้าไม่นับในแถบช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ผู้คนก็แทบจะไม่มีให้เห็น เราไปเยือนสนามกูดิสัน ปาร์คเพื่อถ่ายรูป+ช็อปของที่ระลึกกันเล็กน้อยแต่ขอเซฟเงินไม่เข้า พิพิธภัณฑ์เพราะก่อนหน้านี้ตกลงกันแล้วว่าจะไปเข้าที่ลิเวอร์พูลกัน
ระยะทางจากสนามเอฟเวอร์ตันไปลิเวอร์พูลนั้นใกล้มากสามารถเดินถึงกันได้ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีเลยด้วยซ้ำ เราก็จะพบสนามแอนฟิลด์ที่เจ้าโจเห็นแล้วคงไม่สบอารมณ์และควักถุงช็อปปิ้งของ แมนฯยูฯออกมาจากกระเป๋าแล้วรีบเรียกให้ผมถ่ายภาพไว้ซะอย่างนั้น เอาเป็นว่าแฟนหงส์แดงเห็นหรือเจอเจ้าตัวที่ไหนก็ตราหน้าหมอนี่เอาไว้แล้วกันนะครับ ฮ่า

เงิน 5 ปอนด์ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ถือว่าคุ้มสุดคุ้มครับ เพราะภายในมีคำประวัติ ถ้วยรางวัล เหรียญรางวัลแห่งความสำเร็จในอดีตของลิเวอร์พูลพร้อมทั้ง เสื้อผ้ารองเท้าสตั๊ดของตำนานหลายคนอาทิเช่น เควิน คีแกน ก็ถูกแสดงไว้ ณ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ด้วย


เดินได้สักพักใหญ่ ๆ พวกเราก็ต้องเตรียมตัวกลับลอนดอนครับ โดยเราไปนั่งหม่ำเบอร์เกอร์กันที่ผับและชมเกมสโต๊ค-สเปอร์สให้ผมช้ำใจเล่น ๆ เพราะน้องไก่โดนอีกแว้ว แต่ไม่เป็นไรครับเพิ่งเข้าวัดมาตอนนี้ไม่คิดมาก ปลงได้! ใครอยากล้อ เชิญ อิอิ (แนะนำแฟนไก่ให้คิดแบบนี้นะครับจะได้ไม่เครียด คิดซะว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ผลงานจะดำดิ่งแค่ไหนก็ต้องตามเชียร์ สู้!)

ขากลับเรานั่งรถโค้ชกลับเข้าลอนดอน ออกจากลิเวอร์พูล 5 โมงครึ่งแต่รถติดสุด ๆ กินเวลาไป 6 ชั่วโมง (จากกำหนดแค่ 4 ช.ม.) เนื่องจากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบนถนนเส้นที่เรากลับจึงนั่งรถซะก้นชา ผู้โดยสารหลายคนออกอาการหงุดหงิดกันเป็นแถบ แต่สำหรับผม จีและโจซึ่งเจอชุดใหญ่ไปแล้วเมื่อคืนแค่นี้ถือว่าสิว ๆ ไปเลยครับ : )

ป.ล. ทริปนี้ขอขอบคุณคนไทยน้ำใจงามทุกท่านจากร้าน Thai Banana, Manchester รวมถึงหลวงพี่ปกานนท์แห่งวัดศรีรัตนาราม สำหรับที่พักและคำสอนดีๆที่มีให้ครับ



Wednesday 22 October 2008

ผจญภัยที่แมนเชสเตอร์ (ตอน 1)

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมดีดตัวเอง ออกนอกกรุงลอนดอน เป็นครั้งแรกนับ ตั้งแต่ฟุตบอลพรีเมียร์ชิพ ฤดูกาลนี้เปิด ฉากขึ้น โดยงานนี้มุ่งหน้า ขึ้นเหนือ สู่เมือง แมนเชสเตอร์เพื่อชมเกมคู่ แมนฯยูไนเต็ด-เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยนที่แข่งกัน ไปวันเสาร์ที่ผ่านมา

"จี" และ "โจ" คือเพื่อนร่วมทริปนี้และ ทั้งคู่เป็นสาเหตุหลัก ที่ทำให้ผมตัดสินใจ ออกเดินทางอีกครั้งนึง ทั้ง ๆ ที่วันเดียวกัน ก็มีคู่ที่น่าสนใจกว่าใน ลอนดอนอย่างอาร์เซนอลพบเอฟเวอร์ตัน เราสามคนมีจุดหมายปลายทาง ที่ต่างกันไปในการมาเยือนดินแดน "เดอะเธียเตอร์ออฟดรีม" แห่งนี้...

"จี" ลูกอาเสี่ยเจ้าของกิจการนวดแผนโบราณที่เมืองไทยเป็นแฟนเชลซีมานาน และกำลังจะกลับเมืองไทยกลางเดือนหน้าจึงอยากไปดูสนาม ของทีมคู่ปรับสำคัญว่าจะยิ่งใหญ่อลังการขนาดไหน
ส่วน "โจ" เด็กแนวแฟนผีแดงเพิ่งมาอังกฤษได้ไม่นาน มีความฝันอยากจะไปโอลด์ แทรฟฟอร์ดเพื่อบรรลุการเป็น เด็กผีให้สมบูรณ์แบบการเป็นสาวกพันธุ์แท้และ ผมนักข่าวฟุตบอลที่เกลียดผีแดงอย่างกับขี้ (เนื่องจากชอบใช้เงินกวาดนักเตะสเปอร์สไปเข้าเล้า!!) เกิดมายังไม่เคยไปเหยียบสนามแห่งนี้เช่นกัน การมาเยือนสักทีไม่ให้เสียชาติเกิด ประกอบกับการได้มีเพื่อนร่วมเดิน ทางอีกต่างหากทริปนี้ จึงพอหยวนได้ครับ ^^
การเดินทางของเราสามคนก็เริ่มต้นที่สถานีรถไฟ Euston, London โดยแพลนของเราในครั้งนี้ก็คือจะไปดูบอลที่แมนฯยูฯก่อนค้างแรมที่นั่น 1 คืน ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะไปลิเวอร์พูลซึ่งไม่ไกลมากจากแมนเชสเตอร์ (ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.โดยรถโค้ช) เพื่อท่องเที่ยว+เยี่ยมชมสนามแอนฟิลด์ของลิเวอร์พูลและกูดิสัน ปาร์คของเอฟเวอร์ตันให้คุ้มค่าเวลาและเม็ดเงินที่เราเสียไปกับค่าเดินทางให้ได้มากที่สุด


เราออกจากลอนดอนเวลาประมาณ 11 โมงเช้าและนั่งรถไฟ National Express ไปถึงเมืองแมนเชสเตอร์เวลาประมาณบ่าย 3 โมงตรง เกมคู่นี้นั้นเริ่มเวลา 5 โมงครึ่ง แม้จะไม่ทันการเดินทัวร์พิพิธภัณฑ์อย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก แต่ก็ยังเพียงพอสำหรับการเดินเล่นรอบสนามรวมถึงเมกะสโตร์เพื่อ ให้นายโจสวมวิญญาณเลือดเศรษฐีเดือด กระหน่ำช็อปของฝากกลับลอนดอน

บรรยากาศรอบๆ สนาม ยิ่งใกล้ถึงเวลาคิกออฟเท่าไร ไม่ทราบว่ากองเชียร์ได้ไหลกันมาจากไหนเยอะแยะเดิน กันเบียดกันให้เต็มไหนเต็มหนึ่งแม้คู่แข่งจะเป็นแค่เวสต์บรอมฯ ที่ศักดิ์และศรีเป็นรองสุดกู่แต่นี่แหละครับคือ สโมสรที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นที่รักของแฟนบอลทั่วทุกมุมโลก

Press room และ Press Box ที่นี่ผมโดนใบสั่งจากรีเซฟชันสาวหน้าประตูว่า "กรุณางดใช้กล้องถ่ายรูปข้างในนะคะ" หลังเห็นผมถือเจ้ากล้อง Nikon D-40x อยู่กับมือทำเอาผมถึงกับเซ็งอารมณ์อยากจะเก็บภาพข้างในมาฝากท่านผู้อ่านแต่ก็อด เอาเป็นว่าคราวหน้าถ้าได้มาจะแอบชักภาพมาให้ได้ครับ สัญญา !

สำหรับรูปเกมอย่างที่ทุกท่านคงได้ทราบผลกันไปแล้วว่าผีแดงกดไปเน้นๆ 4-0 แม้ว่าในครึ่งแรกจะโนสกอร์เจาะไข่แดงทีมเยือนไม่ได้ก็ตาม เนื่องจากแนวรับของเวสต์บรอมฯ นั้นยืนกันได้เป็นระบบระเบียบดีมาก ส่วนนึงต้องชมการวางหมากของโทนี่ โมว์เบรย์ที่สามารถต้านทานแนวรุกมหาประลัยของทีมปิศาจแดงเอาไว้ได้ถึง 55 นาที อย่างไรก็ดีแมนฯยูฯก็ยังเป็นทีมที่มี Winning-Mentality หรือความกระหายของนักเตะที่จ้องจะเอา 3 คะแนน ให้ได้ทุกๆ นัดที่ลงสนามและการไม่เคยผ่อนเกม ถอนคันเร่งจนกว่าจะสิ้นสุดเสียงนกหวีดจากกรรมการ

สิ่งนี้แหละครับจำเป็นที่สุดสำหรับแชมเปี้ยนในกีฬาทุกประเภท เพราะเราไม่สามารถชะล่าใจหรือประมาทคู่แข่งได้เลยแม้เสี้ยววินาทีเดียว หากเค้า/เธอ หรือทีมทีมนั้นต้องการที่จะ ประสบความสำเร็จในบั้นปลายของการแข่งขัน

นั่นคือสิ่งที่ "บิ๊กโฟร์" แตกต่างและพิเศษกว่าทีมอื่นๆ ในลีก...

เกมนี้ก็เช่นเดียวกันพลพรรคปิศาจแดงแสดง ให้เห็นถึงความลงตัวของทีมที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ได้คริสติอาโน่ โรนัลโด้กลับมาฟิตลงสนาม และดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟเริ่มมองตาก็รู้ใจกับเวย์น รูนีย์หัวหอกฟอร์มฮอตที่สุดในเกาะอังกฤษเวลานี้

"เหนือฟ้ายังมีฟ้า" คือสิ่งที่ผมกลัวแทนเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเนื่องจากในวันเดียวกันเชลซีของหลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ซึ่งมีนักเตะเจ็บกันเป็นเบือกลับไม่ได้มีเอฟเฟกต์ใดๆ กับผลการแข่งขันเลย แม้ต้องออกไปเป็นทีมเยือนและไล่กะซวกมิดเดิลสโบรห์ไส้แตกคาบ้าน 5-0 ประกาศศักดาการเป็นแคนดิเดตหมายเลขหนึ่งในการขอแย่งแชมป์ลีกคืนจากแมนฯยูไนเต็ดแบบเต็มตัว

ครับ เกมที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดจบลงไปด้วยความชื่นมื่นของแฟนผีแดงกว่า 7 หมื่น 5 พันคน แต่การเดินทางของผม จี และ โจยังไม่จบเนื่องจากต้องค้างแรมกันที่แมนเชสเตอร์ เราไม่ได้บุ๊กโรงแรมกันมาล่วงหน้าจึงแวะพักท้องกันที่ร้าน KFC แถวสนามก่อนคุยกันว่าจะออกเดินล่าหาโฮเต็ลถูกๆ ที่ไม่ไกลจากโค้ชสเตชันกัน เพราะรุ่งขึ้นมีคิวต้องไปทัวร์ลิเวอร์พูลกันต่อ

ชิวครับ ยังชิวได้อีกเพราะนาทีนั้นไม่คิดว่าตัวเองกำลังจะต้องตกระกำลำบากเดินแบกกระเป๋าหนักๆ เป็นหลายกิโลหาโรงแรมเกือบทั้งคืน !!!

เชื่อมั้ยครับว่าคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาโรงแรม ในตัวเมืองแมนเชสเตอร์เต็มเกือบหมด ที่พอจะเหลือก็เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้น และราคาก็มหาโหด 200 ปอนด์อัพ เดินวนไปวนมาอยู่ร่วมชั่วโมงเศษ อากาศยิ่งดึกยิ่งหนาว+แรงเริ่มหมดเราจึงตัดสินใจ เรียกแท็กซี่โดยก่อนขึ้นก็ถามว่าพอจะรู้จักโรงแรมถูกๆ ย่านชานเมืองแมนเชสเตอร์บ้างมั้ย

"โอเช ขึ้นมาเลยพ่อหนุ่ม ไอพอจะรู้ที่พักถูกๆ เดี๋ยวไอจัดห้าย" โอ้ โล่งอกครับ ผมและเพื่อนๆ กระโดดขึ้นแค็บดำแบบไม่ลังเลถึงค่าใช้จ่ายที่เริ่มบานปลาย (ออกจากสถานีรถไฟตอนขาไปสนามก็นั่งแท็กซี่โดนไป 8 ปอนด์ แบบว่าอยากถึงสนามเร็วๆ วัยรุ่นใจร้อน^^)

ขับไปขับมาตาลุงนี่ไม่รู้ขับอ้อมหรือเปล่าพวกเราชักเสียวจึงถามไปว่า "ลุงฮะ อีกไกลมั้ย"
"ไม่กี่ไมล์หรอกไอ้หนู" ชิบหายแล้วสิครับตาลุงมันพาออกนอกตัวเมืองซะไกลแบบนี้ ถ้าขืนไม่ได้โรงแรมจะกลับเข้าเมืองยังไงวะเนี่ย ??!! ในใจผมเริ่มร้อนรุ่มแต่ยังนิ่งไม่อยากทำให้จีและโจที่เงียบไปเลย เสียขวัญ

ลุงคนนี้มาปล่อยเราที่หน้าโรงแรมจิ้งหรีดแห่งนึงครับ บอกว่าหัวมุมถนนมีโรงแรมถูกๆ อีกสองสามที่ ลองเดินหาดูคิดว่าน่าจะมีห้องว่าง จ่ายตังค์โดดลงรถเรียบร้อยปรากฏว่าเคราะห์ซ้ำกรรม ซัดโรงแรมจิ้งหรีดสภาพเก่าๆ ก็ยังทะลึ่งเต็มหมด!
มองหน้ากันเลิ่กลั่ก แล้วจังหวะนี้ ทั้งเหนื่อย ทั้งหนาว ทั้งหมดแรงปนท้อใจไม่รู้จะซุกหัวนอนที่ไหนดีพอดีว่า ระหว่างทางที่นั่งมาเราเห็นร้านอาหารไทยชื่อร้าน Thai Banana ระดมความกล้ากันเฮือกสุดท้ายดีกว่าไม่มีที่นอน จึงตัดสินใจกันว่าจะเดินเข้าไปถามเผื่อว่าจะได้คำแนะนำอะไรบ้างจากคนไทยในต่างแดนด้วยกันแบบนี้...

ป.ล.เนื้อที่หมดไว้จะมาต่อพรุ่งนี้นะครับว่าคืนนั้นเราไปลงเอยกันที่ไหนและทริปที่ลิเวอร์พูลจะเป็นเช่นไร โปรดติดตามครับ : )

Friday 17 October 2008

สิงโตคำราม...แม้ยังไม่ดีที่สุดแต่ผลสอบผ่านฉลุย



ในที่สุดขุนพลทีมชาติอังกฤษภายใต้การ ทำทีมของฟาบิโอ คาเปลโล่ ก็ทำได้ตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์เอาไว้ เมื่อเดินหน้าเก็บชัยเป็นนัดที่ 4 ติดต่อกันในรอบคัดเลือกเมื่อบุกไป กำราบเบลารุสถึงสนามดินาโม สตาดิโอน 3-1 นำจ่าฝูงกลุ่ม 6 มี 12 คะแนนเต็ม ลอยตัวสบายอุรา

เกมนี้คาเปลโล่เลิกดื้อกลับมาใช้ระบบ 4-4-2 อันเป็นระบบที่นักเตะเลือดผู้ดีคุ้นเคยกันมากกว่า แต่ยังให้โอกาส "สตีวี่จี" สตีเฟ่น เจอร์ราร์ดเป็นตัวจริง โดยจับไปยืนปีกซ้ายแทนการขาดหายไปของโจ โคลที่ไม่ได้ติดทีมชุดนี้

ก่อนเกมจะเริ่มขึ้นกัปตันฮาร์ดแมน ของลิเวอร์พูลออกมายอมรับโดยดุษฎีครับว่า ยังเล่นไม่เข้าขากับแฟรงค์ แลมพาร์ดในการจับคู่กันในแดนกลางและกลัวเหลือเกินที่จะเสีย ตำแหน่งในทีมชาติไปหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป

อย่างไรก็ดีผมว่าปัญหาจริง ๆ ของเจอร์ราร์ดคือความกลัวอันเกิดจากความคาดหวังที่สูงจากแฟนบอล และเจ้าตัวเองที่หวังจะให้ผลงานออกมาดีที่สุดเหมือนในสีเสื้อลิเวอร์พูล ซึ่งแท้จริงแล้วอังกฤษและลิเวอร์พูลก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทั้งในแง่ของระบบการเล่นและตัวผู้เล่น

ที่ลิเวอร์พูล เจอร์ราร์ดเป็นเหมือนศูนย์กลางของทีมที่ทุกคนฝากความหวังเอาไว้ การขึ้นบอลหรือเซตบอลทำเกมบุกแต่ละทีบ่อยครั้งที่เพื่อนมักจะฝากบอล ให้เจ้าตัวสร้างสรรค์+ปั้นเกมได้เต็มที่ นอกจากนี้ราฟาเอล เบนิเตซก็ให้อิสระค่อนข้างมากไม่จำกัดตำแหน่งว่าต้องอยู่ให้เป็นที่ ทำให้ฟอร์มกัปตันหัวขิงโดดเด่นเป็นสง่ารวมถึงขึ้นมายิงประตูสำคัญให้ทีมได้เสมอ

แต่ในทีมชาติอังกฤษการมีแฟรงค์ แลมพาร์ดซึ่งเล่นในตำแหน่งนี้เดียวกันอยู่ ทำให้เกิดปัญหาโลกแตกอย่างที่เคยเรียนไป เพราะนอกจากจะเล่นด้วยกันไม่ได้แล้ว ยังทำให้แดนกลางอังกฤษดูติดขัดไม่เป็นธรรมชาติเนื่องจาก ไม่มีมิดฟิลด์ตัวรับโดยธรรมชาติทำให้ทีมเสียบาลานซ์ไป

ถึงนาทีนี้คาเปลโล่น่าจะถึงบางอ้อและเข้าใจ ถึงปัญหานี้อย่างถ่องแท้ เกมนี้จึงปล่อยให้บทบาทโฮลดิ้งมาเป็นของแกเร็ธ แบร์รี่รับสัมปทานตรงนี้ไป ซึ่งแม้ผลงานกัปตันวิลล่าจะไม่โดดเด่นแต่ก็ ต้องเข้าใจว่าบทบาทนี้ เป็นเหมือนผู้ปิดทองหลังพระและทำให้การปั้นเกมของ แลมพาร์ดดูไหลลื่นขึ้นและเจอร์ราร์ดกับบทบาทปีกซ้ายจำเป็น อาจจะยิงประตูสุดสวยได้หนึ่งลูกและแอสซิสต์ให้เวย์น รูนีย์ยิงได้อีกหนึ่งดอก ทำให้หลายฝ่ายอาจคิดว่าปัญหาว่าจะเอาเจอร์ราร์ดยืนตรงไหนน่าจะจบลงแล้ว

แต่ถึงกระนั้นก็ดี ผมเองกลับขอผ่าเหล่าผ่ากอไม่ขอคิดเช่นนั้น โดยสาเหตุของผมก็คือจากจุดที่เจอร์ราร์ดยิงและส่งให้เพื่อนทำประตูนั้น มาจากตำแหน่งกลางสนามไม่ใช่จากฝั่งซ้ายตำแหน่งที่เจ้าตัวประจำการอยู่
ถามว่าแล้วหัวขิงมันผิดอะไรที่ยิงและจ่ายบอลจากจุดนั้น? ไม่ผิดครับเนื่องจากผมเข้าใจดีว่าเจ้าตัว ไม่ใช่ปีกซ้ายโดยธรรมชาติแต่ทว่า การตัดเข้าในแบบนั้นคือการที่เจ้าตัวต้อง เอาตัวรอดในเกมให้ได้เท่านั้นเอง ในมุมกลับกันหลายจังหวะทีเดียวที่เจอร์ราร์ด ได้บอลแล้วต้องเสีย เวลาแต่งบอลเข้าเท้าขวาและดูไม่เป็นธรรมชาติ โดยครึ่งเวลาหลังคาเปลโล่คงเห็นปัญหานี้ เลยเปลี่ยนระบบมาเป็น 4-2-3-1 ให้เจอร์ราร์ดหุบเข้ามาเป็นกองกลางตัวรุกด้วย

ที่ผมต้องการจะบอกก็คือการจับเจอร์ราร์ด ไปยืนปีกซ้ายยังไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด และโจ โคลก็ยังเหมาะสมและคุ้นเคยกับตำแหน่งนี้มากกว่า หรือไม่แอชลีย์ ยังที่เป็นปีกซ้ายธรรมชาติและก็พิสูจน์ตัวเอง ได้พอสมควรแล้วกับแอสตัน วิลล่าก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเจอร์ราร์ดด้วยซ้ำไป

นอกจากนี้ปัญหาเดิมที่ผมมองเห็นจากทีมชุดนี้ก็คือ แนวรับที่ดูหละหลวมเหลือเกินยามที่ขาดสองกองหลังจากเชลซีจอห์น เทอร์รี่และแอชลีย์ โคล + ฟอร์มที่ไม่คงเส้นคงวาของธีโอ วัลคอตต์ที่เพิ่งเรียนไปเมื่อวันพุธที่ผ่านมา

เวย์น บริดจ์นั้นเล่นไปแค่ 7 นาที ให้เชลซีในพรีเมียร์ชิพซีซั่นนี้สนิมเกาะเพียบเกมนี้ดูก็รู้ว่าความฟิตนั้น ไม่ถึงขีดวิ่งเติมเกมแต่ละทีเชื่องช้าเกินไปขณะที่แมทธิว อัพสันก็ดูไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวงกับตำแหน่งอะไหล่สำรองของจอห์น เทอร์รี่

ส่วนเคสของวัลคอตต์ ผมว่าจับไปนั่งสำรองบ้างได้แล้ว เพราะความมั่นใจยังขึ้นๆ ลงๆ และต้องรอให้จิตใจกล้าแกร่งกว่านี้ค่อยว่ากันใหม่กับตำแหน่งตัวจริงในทีมชาติ โดยระหว่างนี้ก็น่าจะลองเปิดโอกาสให้ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์ได้พิสูจน์ตัวเองดูบ้างก็คงจะดี

ชัยชนะ 3-1 ที่ผ่านมาใช่จะมีแต่ข้อเสียนะครับเพราะผมก็เห็นสัญญาณอะไรดี ๆ ในทีมชุดนี้เหมือนกัน อย่างเช่นสองกองหน้าของทีมที่จับคู่กันได้อย่างลงตัวของเอมิล เฮสกีย์และเวยน์ รูนีย์

เฮสกีย์นั้นอาจจะไม่ใช่จอมถล่มประตูขั้นเทพเพราะยิงไปแค่ 5 ประตูเท่านั้น จากการลงเล่นให้ทีมชาติ 50 นัด ประตูล่าสุดที่ยิงได้ให้อังกฤษก็ต้องนั่งไทม์แมชีนย้อนไปในปี 2003 นู่นเลย แต่ทว่าความขยันและสรีระที่ได้เปรียบกองหลังคู่แข่งก็โดดเด่นโดนใจผมเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำให้ "น้องหมู" รูนี่ย์กลับมาเป็นดาวยิงเวิลด์คลาสอีกครั้งนึง

สรุปก็คือ ผู้เล่นอังกฤษ,แฟนบอล และสื่อยังต้องเท้าติดดิน +ไม่ลืมความเจ็บปวดจากการชวดไปเล่นยูโร 2008 รอบสุดท้ายครั้งที่ผ่านมา จะได้ไม่หลงระเริงไปกับชัยชนะ 4 นัดรวด ในการคัดบอลโลกครั้งนี้
โดยปัญหาในทีมอย่างที่เรียนไปยังคงมีให้เห็นแต่ผมเชื่อว่าเมื่อถึงเวลา กุนซือสมองเพชรอย่างคาเปลโล่จะตกผลึกทางความคิด และพาสิงโตคำรามเข้ารอบสุดท้ายที่แอฟริกาใต้ได้แน่นอนครับ...ฟันธง!

Thursday 16 October 2008

ปัญหาเหยียดสีผิว...ต้องหนักแน่นและเด็ดขาดเพื่อความยุติธรรม

ระหว่างที่ปั่นต้นฉบับชิ้นนี้อยู่ผมยัง ไม่ทราบว่าผลการแข่งขันระหว่างเบลารุส-อังกฤษเป็นเช่นไร วันนี้เลยขอพูดถึงสองวาระสำคัญ ที่เกิดขึ้นและเกี่ยวโยงกับ ปัญหานอกสนามของวงการฟุตบอลซึ่ง ก็คือปัญหาการเหยียดสีผิว (Racism) ที่ล่าสุดโดน ‘ไม้แข็ง’ จากสององค์กรใหญ่อย่างยูฟ่าและ เอฟเอลงดาบเป็นที่เรียบร้อย
ข่าวแรกสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) นั้นจัดการเชือดไก่ให้ลิงดูด้วยการปรับเงิน เป็นจำนวน 120,000ปอนด์ (ประมาณ 7 ล้านบาท) ถือเป็นตัวเลขที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ รวมถึงสั่งแบนแอตเลติโก มาดริดจากการลงเตะในถิ่นบิเซนเต้ กัลเดรอนของตัวเองเป็นเวลา 3 นัด
นั่นหมายความว่าเกมแชมเปี้ยนส์ ลีกกับลิเวอร์พูลในวันที่ 22 ตุลาคมรวมถึงพีเอสวี ไอนด์โฮเฟนในวันที่ 26 พฤศจิกายน ทีมตราหมีจะต้องเล่นในสนามที่ห่างจากกรุงมาดริดไป 300 กิโลเมตร โทษฐานที่ปล่อยให้แฟนตัวเองก่อความวุ่นวายตีกับ แฟนทีมเยือนรวมถึงร้องเพลงล้อเลียนเหยียดสีผิว (Monkey chanting)นักเตะมาร์กเซย์ รวมถึงนักข่าวผิวดำที่ Press Boxในศึกแชมเปี้ยนส์ ลีกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยงานนี้ฮาเวียร์ อากีร์เร่ กุนซือตราหมีก็ถูกสั่งห้ามคุมทีมข้างสนามใน 2 นัดเหย้า-เยือนกับลิเวอร์พูลฐานสบประมาทนักเตะ ’โอแอ็ม’ ด้วย
‘ผลลัพธ์’ที่ออกมาถือเป็นข่าวดีของวงการฟุตบอลทั่วโลก อย่างแท้จริงที่ความยุติธรรมยังคงมีอยู่บนโลกใบนี้ แต่ก็ตลกร้ายสุด ๆ สำหรับแฟนบอลลิเวอร์พูลกว่า 6,000 ชีวิตที่บุ๊คตั๋วเตรียมเดินทางไปสเปนเรียบร้อยหมดแล้ว ทำให้ประเด็น‘ลงดาบ’ของยูฟ่าในครั้งนี้ เสียงแตกออกเป็นสองฝ่าย มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

ฝ่ายจำเลยอย่างแอตเลติโก มาดริดออกมาตีโพยตีพายว่าจะเดินหน้า ทำเรื่องอุทธณ์ให้ถึงที่สุด ขณะที่ริค แพร์รี่ CEO คนเก่งของลิเวอร์พูลก็รักแฟนบอลจนเกินงาม ออกมาโวยว่าทำไมยูฟ่าไม่รีบแจ้งตั้งแต่เนิ่น ๆ ทำให้แฟนบอลเดอะค็อปต้องเสียเงินเสียทอง และเสียเวลาโดยไม่จำเป็น
ของแบบนี้มองได้หลายมุมครับและผมก็เข้าหัวอก ริค แพร์รี่รวมถึงแฟนบอล ’เดอะค็อป’ อย่างสุดซึ้ง หากแต่กรณีนี้หากชั่งน้ำหนักดูให้ดีแล้ว ผมขอยกมืออยู่ข้างยูฟ่าเนื่อง จากปัญหาการเหยียดสีผิวที่ยังไม่หมดไปนี้ ผมคิดว่ามันถึงเวลาเสียทีที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ต้องจัดการและลงโทษให้เด็ดขาดมากกว่าเดิม
หาใช่ค่าปรับถูก ๆ ที่สมาคมฟุตบอลโครเอเชียโดนไปแค่ 15,000ปอนด์ กับกรณีของแฟนโครแอตตะโกนเหยียดสีผิวใส่เฮสกีย์เมื่อเดือนก่อนซึ่งถือว่า จิ๊บจ๊อยและน่าขันมากกับเรื่องที่ละเอียดอ่อนแบบนี้

การลงโทษที่ตัว ’องค์กร’ เหมือนอย่างที่สมาพันธ์โครเอเชียโดน ผมถือว่าเป็นการเกาปัญหาไม่ถูกที่เพราะว่าหากจะให้ดีหรือเห็นผลทันตากว่า ยูฟ่าต้องสั่งแบนการเล่นในสนามเหย้าแบบนี้แหละครับถึงจะถูกเพราะเป็นการ "ลงโทษ" ที่มีเอฟเฟกส์กับแฟนบอลนิสัยเสียโดยตรง เนื่องจากพวกเค้าเหล่านี้นอกจากจะพลาด ชมผู้เล่นที่ตัวเองชื่นชอบลงเล่นในสนามรักตัวเองแล้ว ยังต้องระหกระเหเร่ร่อนไปดูเกมเหย้า ของตัวที่สนามอื่นซึ่งเจ็บกระดองใจยิ่งกว่าเป็นไหน ๆ

ผมไม่แปลกใจอีกเช่นกันที่วันเดียวกันจะเห็นข่าว ทีมชาติอังกฤษ ไม่ขอลงเตะกระชับมิตรกับสเปนที่สนามซานติอาโก้ เบอร์นาบิว กรุงมาดริดวันที่ 1 1กุมภาพันธ์ปีหน้า เหตุเพราะกลัวเกิดปัญหาเหยียดสีผิวเหมือนกับเมื่อ 4 ปีก่อนซึ่งครั้งนั้น ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์,แอชลี่ย์ โคล,ริโอ เฟอร์ดินานด์,เจอร์เมน เดโฟ และเจอร์เมน จีนัสถูกกองเชียร์เจ้าถิ่นเป่าปากล้อเลียนในระหว่าง เกมเฟรนด์ลีย์แมตช์ ที่ทีมกระทิงดุเฉือนเอาชนะสิงโตคำราม 1-0
การที่เอเดรียน เบวิงตันผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของเอฟเอ ออกมาประกาศแบบนี้ถือเป็นการขานรับนโยบาย Anti-racism campaign ของมิเชล พลาตินี่ได้ถูกที่ถูกเวลาเอามาก ๆ เพราะเหมือนเป็นเอากระจกมาสะท้อนปัญหาของประเทศสเปนในภาพรวมเลยก็ว่าได้ เนื่องจากนี้ไม่ใช่ครั้งแรกหรือครั้งที่สองที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น หากแต่มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำแล้วในวงการฟุตบอลสเปน

ครั้งนึงหากยังจำกันได้ หลุยส์ อราโกเนสกุนซือทีมชาติสเปนก็เคยใช้ถ้อยคำเหยียดผิวเธียร์รี่ อองรีเพียงเพราะต้องการพูดกระตุ้นฟอร์มของโฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส หรือซีซั่นก่อนแอตเลติโก มาดริดพบเซบีญ่าก็มีเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันเกิดขึ้น และอีกนับครั้งไม่ถ้วนที่ไม่เป็นข่าว
ถึงตอนนี้ สิ่งที่กองเชียร์สเปนรวมถึงสมาคมฟุตบอลแดนกระทิง (Spanish Football Federation ,SFF) ควรทำคือ กลับไปทบทวนตัวเองด้วยว่าความประพฤติของพวกเค้าเหมาะสมและดีพอหรือยัง ? จริงอยู่ที่พวกเค้ามีทีมฟุตบอลที่เก่งกาจเป็นถึงเจ้ายุโรปในครั้งล่าสุด

ทว่า ‘ฮีโร่ที่แท้จริง’เก่งในสนามอย่างเดียวคงไม่พอหากแต่ต้องทำดีนอกสนามด้วย แฟนบอลเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบตรงนี้ไม่ใช่ปล่อยเป็นหน้าที่ขององค์กรฟุตบอลคอยตามแก้ตามเช็ด

โต ๆ กันแล้วการเคารพซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่จำเป็นมากหากต้องการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข ไร้ปัญหา...

Wednesday 15 October 2008

ปัญหายังคงมี...แต่อังกฤษจะฟัน 3คะแนน!


3 เกม 9 คะแนน ยิงไป 11 ตุง และนำเป็นจ่าฝูงแต่เพียง ผู้เดียว... ทุกอย่างดูสวยงามเส้นทางการ ไปฟุตบอลโลก ที่แอฟริกาใต้ดูเหมือน จะโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ สำหรับผลงาน การคุมทีมของฟาบิโอ คาเปลโล่กุนซือเลือดอิตาเลียน
อย่างไรก็ดีหากมองกันลึกลง ไปอย่าลืมครับว่าคาซัคสถาน เป็นแค่ทีมอันดับ 131 ในฟีฟ่าแรงกิ้งเท่านั้น และบอกได้คำเดียวว่าห้ามประมาทเป็นอันขาด หากไม่อยากต้องช้ำใจอีก เพราะอย่างที่เรารู้กัน ทีมชาติอังกฤษยามชนะ ‘สื่อมวลชน’ ต่างก็ตีข่าวสรรเสริญ เยินยอซึ่งเป็นเรื่องที่ดี
แต่บางครั้ง...ไม่ใช่สิ ผมว่าหลายต่อหลายครั้งทีเดียวที่ ‘ยก’ กันซะลอยไม่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง จนทำให้แฟนบอลรวมถึงนักเตะเองเกิด อาการลืมตัวหลงเข้าใจว่าข้าเจ๋งข้าแน่ที่สุด จนมองข้าม ‘ปัญหา’ ของตัวเองไป หลังจบเกมวันเสาร์ก็มัวแต่พูดถึงประเด็น ‘โห่’ โคลคล้ำ

แต่คนนึงที่ผมว่าไม่ได้หลงดีใจไปกับชัยชนะในนัดนี้และกำลังปวดกบาลกับ ‘ปัญหา’ ที่เค้ามองเห็นอยู่ ก็คือตัวของฟาบิโอ คาเปลโล่ที่จนป่านนี้ก็ยังคิดไม่ตก ว่าจะส่งทีมลงเล่นด้วยระบบไหนแน่ ระหว่าง4-3-3 ที่เจ้าตัวเชื่อมั่นนักหนาว่าจะพาอังกฤษประสบความสำเร็จได้ หรือ 4-4-2 ฟอร์เมชั่นที่อังกฤษคุ้นเคยกันมานานดี

ในเกมกับคาซัคสถานครึ่งเวลาแรกที่อังกฤษลงไปเล่นด้วยระบบ 4-3-3 เห็นกันชัดเจนว่าไม่เวิร์ก และคาเปลโล่ก็รีบถอดแกเรธ แบร์รี่ซึ่งเล่นไม่ขี้เหล่ออกไปแล้วใส่ ‘ไอ้สั้น’ ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์ลงไปแทน ในตำแหน่งปีกซ้าย และเล่นในระบบ 4-4-2 ซึ่งดูดีขึ้นผิดหูผิดตาทั้งการ หุบรูนี่ย์ไปยืนตรงกลางหลังเอมิล เฮยกีย์แล้วแดนหน้าสามารถ ประสานงานกันได้ดีขึ้น

ผลลัพธ์ก็คือ ‘หมูพลิ้ว’ กดไปคนเดียวสองประตูตอกย้ำ ชัดเจนว่ารูนี่ย์เหมาะ กับตำแหน่งหน้าต่ำในทีมชาติหาใช่เล่น ด้านกว้างซึ่งเหมือนเป็นการปิดโอกาสให้เจ้าตัวยิงประตู
ปัญหาที่สองซึ่งเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อกันมานานแรมปีก็คือ การจับคู่ในแดนกลาง ระหว่างสตีเว่น เจอร์ราร์ดและแฟรงค์ แลมพาร์ดซึ่งนัดนี้ก็น่า จะประจักษ์กันไปแล้วว่ายังคงดูติดขัดและ ไม่ไหลลื่นเหมือนคู่แลมพาร์ด-แบร์รี่ในนัด กับโครเอเชียที่อังกฤษโชว์ฟอร์มเทพไล่อัดไป 4-1

ไม่มีใครเถียงว่าแลมพาร์ดและ เจอร์ราร์ดต่างก็เป็นสอง สุดยอดมิดฟิลด์ตัวกลางที่ได้รับการยอมรับว่าใครก็อยากจะมีไว้ร่วมทีม เนื่องจากครบเครื่องและเด่นในการปั้นเกมรวมไปถึงยิงประตูได้ด้วย

แต่ทว่าธรรมชาติของทั้งคู่ไม่ใช่โฮลดิ้งมิดฟิลด์ และชอบที่จะวิ่งไปข้างหน้าเติมเกมรุกทำให้ทุกครั้ง ที่ได้จับคู่กันในทีมชาติ มักจะเกิดอาการ ‘กั๊ก’ บทบาทและความรับผิดชอบที่กุนซือ คนใดเข้ามาก็ยังแก้ปัญหาที่ว่านี้ไม่ได้

ล่าสุดในการหารือกันต้นอาทิตย์ที่ผ่านมาแว่วๆ มาว่าอังกฤษจะกลับไปเล่นในระบบ 4-4-2 โดยอาจโยกเจอร์ราร์ดไปยืนทางปีกซ้ายแล้ว ให้แลมพ์&แบร์รี่จับคู่ตรงกลาง โดยมีธีโอ วัลคอตต์เป็นปีกขวาตามเดิมซึ่งก็เข้าใจนะครับว่าคาเปลโล่เสียดาย ความสามารถอันเอกอุของเจอร์ราร์ด แต่บางครั้งเพื่อประโยชน์สูงสุดของ ส่วนรวมคาเปลโล่น่าจะตัดสินอะไรให้มันเด็ดขาดไปเลย อันนี้ไม่แน่เหมือนกันว่าเจ้าตัวอาจจะคิดไว้แล้วและอาจมีเซอร์ไพรส์เลือกดรอปใครสักคนก็เป็นได้ในเกมนี้

ส่วนกรณีของวัลคอตต์กับฟอร์มที่ยังไม่นิ่งใน ทีมชาติหลังเด่นแค่ครึ่งเวลาแรกในเกมล่าสุด และเหมือนเล่นเหมือนแบกความกดดันของคนทั้งชาติเอาไว้บนบ่าหลังทำแฮตทริกได้ก็ต้อง พยายามเข้าใจครับว่าเจ้าหนูธีโอเพิ่งจะอายุ 19 ปี เท่านั้น และแฟนบอลจะคาดหวังให้เจ้าตัวโชว์ฟอร์มเทพทุกนัดคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

สรุปก็คือจุดอ่อนอังกฤษยังคงมีให้เห็นอยู่ไม่ว่าจะเป็นระบบการเล่นที่ยังไม่ลงตัว การจับคู่ของหัวขิง-แลมพ์ยังไม่ได้รับการแก้ไข กองหลังที่ไม่มีเทอร์รี่ดูหลวม ซ้ำยังจะเสียแอชลี่ย์ โคลไปอีกในเกมนี้ ฯลฯ

อย่างไรก็ดีเบลารุสยังไม่ใช่คู่ต่อกรที่สมน้ำสมเนื้อและการไม่มีอเล็กซานเดอร์ เคล็บก็น่าจะทำให้เจ้าบ้านยวบไปเยอะในแนวรุก ดังนั้นบทสรุปของผมก็คืออังกฤษจะได้ 3 คะแนนค่อนข้างแน่โดยมีข้อแม้ว่าห้ามประมาทเจ้าถิ่นเป็นอันขาดครับ

Tuesday 14 October 2008

"โห่" เพื่อชาติไม่ผิด...แค่อย่าเกินพอดี


เบื้องหลังเกม อังกฤษ VS คาซัคสถานที่นิวเวมบลีย์ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ไฮไลต์ชัยชนะอันท่วมท้นและ 3 แต้มล้ำค่าถูกบดบังด้วยประเด็น โห่ 'โคลคล้ำ'

หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างสมาคมฟุตบอลอังกฤษ(เอฟเอ) ฟาบิโอ คาเปลโล่กุนซือรวมทั้ง ริโอ เฟอร์ดินานด์กัปตันทีมในเกมนี้ต่าง ก็ออกมากางแขนปกป้องแอชลีย์ โคล รวมถึงยังประณามการกระทำ ของแฟนบอลกลุ่มเล็กๆนี้ว่าเป็นการกระทำที่ บ้าคลั่ง

จังหวะนั้นหาก ได้ชมกัน แอชลีย์ โคลก็ผิดจริงที่ดูดบอล ลงมาอย่างเทพแต่ดัน ตื่นตูมžไปเองรีบกระดกบอลเด้งดึ๋งๆ กลับไปหน้ากรอบเขตโทษตัวเองปล่อยให้ ชามบิล คุเคเยฟ วิ่งเข้าไปล่อเป้าเดวิด เจมส์โล่งๆ ทั้งที่เจ้าตัวมีชอยส์เลือก ทำได้ตั้งเยอะแยะในจังหวะนั้นเช่น ส่งบอลเรียดให้เพื่อนเล่น ต่อหรือหากไม่แน่ใจว่ามีใครวิ่งเข้าข้างหรือเปล่า ก็เคลียร์บอลทิ้งมันเองไปเลย ไม่ใช่สองจิตใจแบบนี้
จริงอยู่ว่าการ 'โห่'ใส่นักเตะทีมตัวเองนั้นดูเป็นการทำลายขวัญและ กำลังใจของนักเตะคนนั้นๆที่เป็นผู้ถูกกระทำ แต่โดยส่วนตัวถามว่าแฟนอังกฤษผิดมากมั้ยที่ทำแบบนี้... ผมมองว่าก็ผิดแต่พวกเค้าก็มีสิทธิ์ที่จะ ออกสิทธิ์ออกเสียงหากไม่พอใจไม่ใช่หรอครับ ?
อย่าลืมว่าแฟนบอลกลุ่มเล็กๆกลุ่มนี้ในสโมสรอาจเป็นแฟนบอลอาร์เซนอล ที่ยังถือโทษโกรธแค้นแบ็กผิวสี ที่หน้าเงินย้ายทีมข้ามฝากไปอยู่กับคู่แข่งอย่างเชลซีซึ่งถือเป็นอริตัวฉกาจในลอนดอน
ครั้งนึงนานมาแล้วหากยังพอจำกันได้เทพเจ้าลูกหนังของชาวอังกฤษอย่าง เดวิด เบ็คแฮม ก็เคยโดนแฟนบอลอังกฤษเกลียดขี้หน้ามาแล้วโทษฐานที่ดันไปเสียบหนักใส่ดิเอโก้ ซิเมโอเน่จนโดนใบแดงไล่ออกจากสนามและอังกฤษตกรอบฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศสไปอย่างน่าเสียดาย
ครั้งนั้นเบ็คแฮมกลายเป็น แพะรับบาปžของคนทั้งชาติจนเกือบเสียผู้เสียคน ยังดีที่ได้บรมกุนซือ อย่างเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันคอยหนุนหลัง และให้กำลังใจจนเจ้าตัวลุกขึ้นมาสู้และภายหลังก็สถาปนา ตัวเองเป็นกัปตันทีมชาติที่มุ่งมั่นและ เป็นที่รักของแฟนบอลอังกฤษจวบจนทุกวันนี้

'รักมากก็เกลียดมาก'น่าจะเป็นนิยาม ที่เหมาะสมกับแฟนบอลอังกฤษมากที่สุด หากเราย้อนกลับไปดูกรณีของ โซล แคมป์เบลที่กลายร่างจาก King of the lane กลายเป็นจูดาสžเพียงชั่วข้ามคืน หรือ เดวิด เบนท์ลีย์ก็โดนโห่จากการปฏิเสธเล่นให้ทีมชาติรุ่นยู 21 เพียงเพราะอยากพักผ่อน
อย่าลืมว่า Passion ของแฟนบอล อังกฤษแท้ๆนั้นรุนแรงมากจนน่ากลัว ผมเองหากไม่ได้มาอยู่ที่อังกฤษคงไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนี้...

ผู้คนที่นี่ สามารถนั่งจิบเบียร์คุยกัน สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับฟุตบอลได้เป็นวันๆกับคนแปลกหน้า โดยไม่มีเบื่อไม่เว้นแม้แต่กับเอเชียอย่างผมที่มาแรกๆก็แปลกใจที่นั่งดูบอล อยู่ที่ผับก็มีอิงลิชแมนรายนึงเข้ามาชวนคุย เรื่องฟุตบอลจนแทบจะไม่เป็นอันดูเกมที่ถ่ายทอดสดเพราะมัวแต่คุยกับแก

วัฒนธรรมการดูฟุตบอลที่พ่อ แม่ พี่น้อง บุคคลในครอบครัวต่างก็มีส่วนหล่อหลอมให้ชาวอังกฤษแทบทุกคนเติบโต มากับการดูฟุตบอลการตามเชียร์สโมสรทีมรัก ของตัวเองจนกลายเป็นว่าฟุตบอลอยู่ในสายเลือด หายใจเข้า-ออกเป็นฟุตบอล
ฉะนั้น ความรักที่มีต่อเกมลูกหนัง จนมันแรงกล้ากลายเป็น Passionหรือ แปลเป็นไทยได้ว่า ความรัก ความปรารถนาที่รุนแรงและแรงกล้าทำให้การแสดงออกหลายๆครั้งของแฟนบอล นั้นออกจะรุนแรงไปบ้าง เช่น การยกพวกตีกันของ ฮูลิแกนลูกหนังซึ่งหากใครได้ดูหนังเรื่อง Green Street หรือ Football Factory คงจะเข้าใจความรู้สึกที่แฟนบอลมีต่อทีมที่พวกเค้ารักได้มากขึ้นครับว่า ฟุตบอลกับไลฟ์สไตล์ที่นี่นั้นเป็นเรื่องที่ยากจะแยกออกจากกัน

เกมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมายอดแฟนบอลอังกฤษกว่า 89,107 คนในสนามน่าจะตอบคำถามเรื่อง ความรักชาติ (Patriotism) ว่ามีมากขนาดไหนได้เป็นอย่างดีเพราะแม้คู่แข่งจะมีศักดิ์เป็นแค่สมันน้อยž ที่คงไม่รอดเขี้ยวของสิงโตคำราม แต่แฟนบอลก็ยังอุตส่าห์เข้าไปชมเกมจนเกือบ เต็มสนามแบบนี้คือเรื่องที่เอฟเอและนักเตะแข้งทอง ทั้งหลายควรพึงสังวรณ์ไว้ครับว่า ถ้าไม่มีกลุ่มแฟนบอลที่รักทีมเหนียวแน่นขนาดนี้ พวกเค้าจะหาเงิน 2.5 ล้านปอนด์เข้ากระเป๋าได้ง่ายดายกว่านี้คงไม่มีแล้วในช่วงเศรษฐกิจกำลังซบเซา

ไม่ใช่แค่เฉพาะในทีมชาตินะครับ ที่สโมสรฟุตบอลอยู่ได้จริงๆ แต่แรกเดิมทีนั้นกลุ่มคนชาวบ้านเหล่านี้มิใช่หรือที่เข้ามา กำลังใจทีมในสนามอยู่ทุกอาทิตย์แต่ภายหลัง ผมรู้สึกสะเทือนใจแทนแฟนบอลท้องถิ่นครับ ที่ความสำคัญของพวกเค้าถูกลดค่าลงไป หลังองค์กรหรือสโมสรต่างก็เบนไปให้ความสำคัญ กับแฟนบอล นอกประเทศมากกว่าสืบเนื่องมาจากการที่ ฟุตบอลอังกฤษกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกในยุคตลาดเสรีแบบนี้ รายได้จากกลุ่มคนเล็กๆในประเทศจึงดูขี้ปะติ๋วไปเลยในชั่วโมงนี้
ส่วนนึงผมคิดว่า ค่าตั๋วฟุตบอลที่สูงขึ้นในแต่ละปีก็มีส่วนทำให้แฟนบอล มีอารมณ์ฉุนเฉียวง่ายขึ้นและความอดทนที่จะรอคอยต่อความสำเร็จนั้นเริ่มจะน้อยลง สวนทางกับราคาค่าตั๋ว...
อารมณ์เกลียดชัง ความเครียด ความรัก หรือ อาการผิดหวังมีเพียงเส้นบางๆกั้นอยู่ หากแต่กรณีโคลคล้ำโดนโห่นี้ ผมเชื่อนะครับว่า เกิดจากอาการผิดหวังไม่อยากเห็นทีมรักผิดพลาดง่ายๆและเสียประตูหมูหกแบบนี้ และหากแอชลีย์ โคลที่ฟอร์มกำลังฮอตสุดๆในสโมสรก้มหน้าก้มตาเล่นเพื่อเอาใจชนะใจแฟนบอลอังกฤษ อีกไม่นานเกินรอครับเค้าก็จะกลายเป็นขวัญใจมหาชนอย่างที่ครั้งนึง เดวิด เบ็คแฮมพิสูจน์กันให้เห็นไปแล้ว

'เสียงโห่' จากแฟนบอลกลุ่มเล็กๆอาจดูว่าป่าเถื่อน ไม่ให้เกียรติทีมตัวเอง แต่หาก FA มองอีกมุมนึงก็ต้องเข้าใจหัวอกแฟนบอลที่รักชาติสุดๆกลุ่มนี้ด้วยนะครับ

Friday 10 October 2008

เคมบริดจ์ "เมืองมหาวิทยาลัยในฝัน"



"ธีม"คัดบอลโลกทีมชาติกำลังมาแรง ก็จริงแต่อังกฤษเจอคาซัคสถานซึ่งถือว่าหมูมาก ถ้าแพ้เนี่ยคาเปลโล่ลาออกได้เลย วันนี้จึงขอฉีกแนวนำคอลัมน์ London Corner มาเขียนละกันครับ

ลอนดอนคอร์เนอร์วันนี้ ขออนุญาตพาออกนอกลอนดอนหนึ่งวัน ไปเยี่ยมชมเมืองเคมบริดจ์ ‘เมืองมหาวิทยาลัย’ ผู้ผลิตอัจฉริยะมากมายให้โลกใบนี้ เช่นท่านไอแซ็ก นิวตัน นักฟิสิกส์ผู้คิดค้น ‘กฎแรงโน้มถ่วงโลก’ หรือ จอห์น ฮาร์วาร์ด ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด, สหรัฐอเมริกาครั้งนึงก็เคยได้ใช้เวลาช่วงสั้นๆ บ่มเพาะความรู้ที่เมืองเล็กๆ แต่เงียบสงบแห่งนี้มาแล้ว

การเดินทางไปเมืองเคมบริดจ์นั้นไม่ยากเลยจากลอนดอนจับรถไฟที่สถานี King Crossค่าตั๋วรถไฟอยู่ประมาณ 18 ปอนด์ ใช้เวลานั่งหลับยังไม่ทันอิ่มก็ถึงแล้ว 45 นาที เท่านั้นเองใกล้มั่กๆ :)

เคมบริดจ์เป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มากครับ เดินไปแป๊บเดียวก็หมดเมืองแล้ว แต่ประวัติอันยาวนานและความสวยงามเนี่ยสิครับแม้ประสบการณ์การไปเที่ยวของผมจะผ่านไปตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้วแต่ความรู้สึกขณะที่นั่งร่ายเป็นตัวอักษรทางหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่นี้ มันยังรู้สึกเหมือนกับว่าเหมือนพึ่งกลับมายังไงยังงั้น อันนี้ไม่ได้เว่อร์นะครับต้องบอกกันก่อน

ทีเด็ดของเมืองแคมบริดจ์ที่ใช้ดึงนักท่องเที่ยวทั้งชาว อังกฤษเองและชาวต่างชาติที่เดินทางมาเยี่ยมชมนั้น นอกจากจะได้มากินบรรยากาศสบายๆ ไม่วุ่นวายเหมือนลอนดอนแล้ว ผมคิดว่า Punting Tour หรือทัวร์นั่งเรือล่องไปตามแม่น้ำ รอบเมืองถือเป็นกิจกรรมสุดฮิตของเมืองนี้ครับ เพราะนอกจากจะได้ความรู้จาก Punter (คนถ่อเรือ)ที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย มารับจ็อบพาร์ตไทม์แล้วยังได้ชมตึกรามบ้านช่อง รวมทั้งมหาวิทยาลัยและคอลเลจที่มีอยู่รายล้อมเต็มไปหมด ระหว่างทาง

ที่สำคัญขอเมาท์นิดนึงว่านักศึกษาเหล่านี้ทั้งหญิงและชายสวยหล่อแทบทุกคน !! ย้ำอีกทีว่าแทบทุกคนจริงๆ โดยเฉพาะผู้หญิง (หัวงูได้อีก ฮ่า)

ระหว่างล่องเรือในแม่น้ำใช้ซึ่งเวลาประมาณ 40 นาที กว่าจะครบตามเส้นทางพันเตอร์ก็จะบรรยายประวัติความเป็นมาของเมืองคร่าวๆ ให้ได้ฟังกัน โดยสองเรื่องที่ผมจำได้แม่นเลยก็คือประวัติของการค้นพบ ‘กฎแรงโน้มถ่วง’ ของเซอร์ ไอแซ็ค นิวตัน ที่พบ ณ ต้นไม้แอปเปิ้ลในสวนทรินิตี้คอลเลจหล่นใส่ศีรษะที่แกเป็นอาจารย์อยู่ และเกิดคำถามให้ตัวเองว่าแรงโน้มถ่วงเกิดจากอะไรจนเรื่องฉงนเล็กๆ นี้ นำมาซึ่งการค้นพบอันยิ่งใหญ่ของโลกในเวลาต่อมา

อีกเรื่องที่พอจำได้ก็คือความเป็นมาของ King College ที่เคมบริดจ์ซึ่งน่าสนใจไม่น้อยครับ
ที่บ้านเราหากยังจำกันได้มีโฆษณาของซุปไก่สกัดยี่ห้อนึง (น่าจะยังมีอยู่ใช่มั้ยอันนี้ผมไม่ชัวร์)
ว่าได้ผ่านการวิจัยจากคิงคอลเลจ มาแล้วอย่างไรก็ดีจากที่ผมได้ศึกษามาและ ได้รับยืนยันแน่นอนจากปากของพันเตอร์ก็คือ King College ที่เมืองเคมบริดจ์นั้นไม่ใช่ศูนย์วิจัย อันโด่งดังที่วิจัยซุปไก่ยี่ห้อนี้แต่อย่างใด แต่ที่นี้เป็นเพียงแค่ ‘หอพัก’ ของนักศึกษา University of Cambridge ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1209 เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่เป็นอันดับสองประเทศอังกฤษ ได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อด้าน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของโลก

นอกจากนี้ยังเป็นมหาวิทยาลัยที่มีผู้ได้รางวัลโนเบลสูงที่สุดในบรรดา มหาวิทยาลัยทั้งหลายในโลกด้วยหลายคนจึงมักคิดว่า King College นี้คือที่เดียวกันกับศูนย์วิจัยชื่อดังที่ลอนดอน
ส่วน King College ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องการค้นคว้าและทำการวิจัยสรรพคุณซุปไก่ที่ว่านั้นคือ King's College ภายใต้การดูแลและควบคุมของUniversity of London ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงลอนนะครับอย่าได้สับสนกัน...

ระหว่างทางล่องเรือผมก็ได้ลอดใต้สะพาน Mathematics Bridge ‘สะพานคณิตศาสตร์’ (สะพานเล็กๆในรูป)ซึ่งมีเรื่องเล่าว่าแต่แรกท่านเซอร์ไอแซ็ค นิวตันได้ออกแบบสะพานนี้ให้สร้างโดยไม่ใช้ตะปูสักตัวเดียวแต่ต่อมามีนักศึกษาคณิตศาสตร์ผู้หนึ่ง อยากรู้ว่าท่านเซอร์ออกแบบอย่างไรจึงไปถอดชิ้นส่วนสะพานออกมาศึกษา ปรากฏพอถอดออกมาแล้วต่อกลับเข้าไปแบบเดิมไม่ได้ จึงต้องใช้ตะปูตอกเพื่อให้คงเป็นสะพานเหมือนเดิม

จากนั้นมาสะพานแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า Mathematics Bridge เพื่อเป็นอนุสรณ์ของความสะเร่อของนักศึกษาคณิตศาสตร์ผู้นั้นครับ ^^

อ่ะ เล่ากันพอเป็นสังเขปนะครับสรุปว่าทริปเคมบริดจ์ของผมถือว่า ‘ตราตรึง’ อยู่ในหัวใจผมไม่เคยลืมเลือนเพราะค่อนข้างโรแมนติกโดยเฉพาะหากใครมีสาวมานั่ง ข้างกายพายเรือไปด้วยกันมันคงจะสวีตไม่น้อยเนื่องจากเราสามารถเช่าเรือพายเองได้ นอกจากนี้สภาพบ้านเรือนก็เป็นตึกศิลปะที่แม้จะเก่าแต่ก็ดูเรียบและเงียบสงบ สมกับเป็นเมืองแห่งการศึกษาจริงๆ ครับ

Thursday 9 October 2008

เมื่อเศรษฐกิจโลก...กระทบพรีเมียร์เร็วกว่าที่คิด!


เมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ก่อนได้เขียน บทความเรื่อง XL และ AIG ที่ได้รับผลกระทบ จากวิกฤตการณ์ทางด้านการเงินครั้งใหญ่ ที่เกิดขึ้นกับสถาบันการเงินในสหรัฐ และได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่าถ้าวันนึงหน่วยธุรกิจใน อุตสาหกรรมฟุตบอลซึ่งก็คือ สโมสรฟุตบอลโดนผลกระทบเข้าไป หน่วยงานที่รับผิดชอบจะมีแนวทางอย่างไร ในการรับมือกับปัญหาที่ว่านี้

พาดหัวข่าวใหญ่ของ นสพ.ที่ประเทศอังกฤษ ‘ไฮไลต์’ ยังคงหนีไม่พ้นเรื่องนี้ครับเพราะว่าล่าสุดกอร์ดอน บราวน์นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ออกมาสั่งอุ้มธนาคารยักษ์ใหญ่ในประเทศอย่าง รอยัลแบงก์ออฟสกอตแลนด์ (RBS) และเอชบีโอเอส (HBOS) โดยอัดฉีดเงินเข้าระบบธนาคารพาณิชย์ 8.7 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อหยุดยั้งวิกฤติแบงก์ล้มละลาย

Credit Crunch หรือ วิกฤติสินเชื่อที่ย่ำแย่ทำให้อังกฤษต้องร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในยุโรป อย่างไอร์แลนด์ ไอซ์แลนด์ เบลเยียม สเปนรวมถึง "พี่ใหญ่" อย่างสหรัฐในการใช้มาตรการช่วยเหลือสถาบันการเงินเพื่อช่วยแบงก์ ขนาดใหญ่ของประเทศไว้

สำหรับคำว่า "อุ้ม" ในที่นี้ ไม่ใช่แค่ให้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลปล่อยให้ธนาคารไปเอา จัดการปัญหากันเองนะครับ แต่มันหมายถึงการที่รัฐเข้ามาดำเนินการหรือคิดง่ายๆ ก็คือยึดอำนาจกิจการแบงก์ส่วนหนึ่งให้เป็นของรัฐเพื่อที่แบงก์ จะได้กลับมาทำงานได้ตามปกติและไหลลื่น เหมือนมีผู้ปกครองคอยควบคุมความประพฤติไปในตัว

ที่ไอซ์แลนด์ก็เช่นกัน ธนาคารแลนด์สแบงกิ (Landsbanki) ซึ่งใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ ถูกรัฐบาลไอซ์แลนด์เข้ามาควบคุมกิจการ เรียบร้อยและบียอร์กอล์เฟอร์ กุ๊ดมุนส์สันประธานสโมสรเวสต์แฮมซึ่ง มีศักดิ์เป็นแชร์แมนอยู่ ก็โดนปลดและเสียการควบคุมไปตามระเบียบ พร้อมกับเครื่องหมายคำถามตัวเป้งว่า อนาคตและทิศทางของขุนค้อนจะเป็นเช่นไร?

หนี้ 30 ล้านปอนด์ ที่ต้องจ่ายให้ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดจากกรณีพิพาทเรื่องของคาร์ลอส เตเบซ ที่ศาลตัดสินให้แพ้และต้องจ่ายค่าเสียหายให้ทีมดาบคู่, งบใช้จ่ายในตลาดนักเตะเดือนมกราคมที่จะมาถึง, สปอนเซอร์อย่าง XL ก็เพิ่งถอนตัว ฯลฯ

ซวยซ้ำซวยซ้อนและถือเป็นเรื่องน่าหวั่นใจแทนแฟนขุนค้อนและจิอันฟรังโก้ โซล่าอย่างแท้จริงครับ...
แล้วอุตสาหกรรมฟุตบอลต้องเจออะไรอีก จากวิกฤตเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้ ? ข่าวล่าสุดที่คาดว่าน่าจะเห็นผ่านตากันไปแล้วก็คือ เดวิด ไทรส์แมนประธานเอฟเอเผยเรื่องสุดช็อกว่าวงการลูกหนังผู้ดีติดหนี้ท่วมกว่า 3 พันล้านปอนด์ ในการประชุม "ผู้นำในวงการฟุตบอล" (Leaders in Football) ที่สนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา


ที่น่าเป็นห่วงมากกว่าก็คือ "ความโปร่งใส" ในการดำเนินการด้านการเงิน ที่สมาคมไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบเรื่องได้ ซึ่งน่ากลัวเหลือเกินว่าสโมสรที่มีประธาน เป็นนักลงทุนต่างชาติทั้งหลายจะทิ้งทีมไปหากจู่ เผ่นแน่บขึ้นมาสโมสรจะอยู่อย่างไร ? และไม่ล้มทั้งยืนตาม เลห์แมน บราเธอร์สยังไงไหว ?

"บรรดาธนาคารเจ้าหนี้ที่ปล่อยกู้ให้สโมสรกำลัง เจอปัญหาอย่างหนัก มันทำให้คุณไม่สามารถกำหนดชะตาของตัวเองได้ สโมสรต่างๆ จะเริ่มเห็นผลกระทบจาก (วิกฤติที่เปรียบเสมือน) พายุเฮอร์ริเคนทีละน้อย มันขึ้นอยู่กับว่าใครจะสามารถเอาตัวรอด ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น" วาทะเด็ดที่หลุดจากปากเดวิด ไทรส์แมน ซึ่งตรงประเด็น และจี้ใจดำใครหลายคน โดยเฉพาะประธานสโมสรบางรายที่หวังจะเอาแต่ได้ อดีตท่านประธาน แมนฯซิตี้น่าจะเป็นตัวอย่าง ที่ชัดเจนที่สุดในเรื่องนี้

สถานการณ์ในตอนนี้ หลายฝ่ายอาจยังไม่ยอมรับความจริงเช่น ริชาร์ด สคูดามอร์ ประธานบริหารของพรีเมียร์ ลีก ที่ออกมาประกาศเชื่อมั่นว่าหนี้ของสโมสรต่างๆ สามารถบริหารจัดการได้และเอฟเอทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี พร้อมกันนี้ยังมองว่าสโมสรจะ เป็นผู้บริหารหนี้สินเองโดยที่องค์กรอย่าง เอฟเอ หรือ พรีเมียร์ไม่ควรเข้าไปก้าวก่าย

ประเด็นที่ ท่านลอร์ดไทรส์แมนออกมาพูดมุมนึงอาจจะเป็นการหาเรื่องเข้าตัว โดนคนในสมาคมเกลียดที่ปากไม่อยู่สุขที่เผยปัญหานี้ให้สื่อมวลชนทราบ ซึ่งเหมือนเป็นการลดความน่าเชื่อถือของพรีเมียร์ลีก และกระทบโปรเจกต์การลงทุนของพรีเมียร์ชิพในอนาคต (อย่างน้อยๆ ก็นายสคูดามอร์หนึ่งคนแหละที่ไม่พอใจ)
อย่างไรก็ดี ผมกลับมองว่า "ความจริง" แม้เป็นสิ่งที่ไม่น่าพิสมัย แต่ความจริงก็คือความจริงและวันนึงเราก็ต้องยอมรับมัน จะช้าจะเร็วพรีเมียร์ก็ต้องเจอเอฟเฟกต์จาก วิกฤติการณ์ด้านการเงินที่จะกระทบเศรษฐกิจทั่วโลก


องค์กรและหน่วยงานที่รับผิดชอบ ก็ต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจน และอย่าแกล้งโง่หรือเพิกเฉยถึง "วิกฤติ" ที่เริ่มแสดงให้เห็นแล้วกับสโมสรฟุตบอลอย่างเช่น ลิเวอร์พูลที่ต้องเลื่อนการสร้างสนามออกไป เวสต์แฮมที่ต้องขายนักเตะก่อนซื้อเข้ามาหรือ นิวคาสเซิลที่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีนายทุนคนไหนกล้าตัดสินใจเทกโอเวอร์ต่อจากไมค์ แอชลีย์

ตอนนี้ วงการฟุตบอลอังกฤษกำลังต้องการ ใครสักคนที่ยืดอกแมน ๆ อย่างท่านลอร์ดไทรส์แมน แสดง "ความรับผิดชอบ" และเตรียมรับมือกับ "ปัญหา" นี้อย่างจริงจังครับ

Wednesday 8 October 2008

สเปอร์สรั้งบ๊วย ใครคือ "แพะ"


จริงๆ ว่าจะเขียนเรื่องนี้ ตั้งแต่เมื่อวานนี้ แต่พอดี อยากจะสรุปภาพรวมของพรีเมียร์ชิพในรอบสัปดาห์ ที่ผ่านมาก่อนที่จะลงลึกในรายละเอียดถึงความ ตกต่ำของสโมสร ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ที่ล่าสุดก็ยัง "อมบ๊วย" อย่างเหนียวแน่นหลังพ่ายคาถิ่นให้กับฮัลล์ ซิตี้ 0-1 สร้างสถิติห่วยเป็นประวัติการณ์ในรอบ 96 ปี ของสโมสร
ไก่แช่บ๊วย ไก่ห่วย หมูสนามจริงสิงห์สนามซ้อม ฯลฯ เพื่อนฝูงหลายคนที่เมืองไทยเจอผมออนไลน์ MSN ทีไรเป็นต้องกัดให้ผมต้องเจ็บช้ำน้ำใจ...ช่วงหลังๆ จึงพยายามซ่อนตัวเซตออฟไลน์เอาไว้หาก พวกมันถามก็จะบอกว่ายุ่ง (จริงๆ กลัวโดนล้อ ฮ่า)

จะว่าไปสิ่งที่พวกเพื่อนปากมอมของผมเอามาล้อ มันก็คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับทีมตราไก่แต่บางครั้งคนจิตใจกำลัง ย่ำแย่อย่าตอกย้ำได้ป่ะ !!??

ข้อมูลจาก "เทเลกราฟ" สื่อเมืองผู้ดีระบุชัดว่า 9ปีหลังสุด ทีมที่รั้งอันดับสุดท้ายหลังผ่านไป 7 นัด มีเพียงทีมเดียวที่รอดพ้นเงื้อมมือมัจจุราชได้ไม่ต้องร่วงตกชั้นคือ เอฟเวอร์ตันในฤดูกาล 2005/2006 นอกนั้นอีกแปดทีมอย่าง เชฟฯเว้นส์เดย์ (ปี1999) แบร๊ดฟอร์ด (2000) เลสเตอร์ (2001) เวสต์แฮม (2002) วูล์ฟแฮมป์ตัน (2004)คริสตัล พาเลซ (2005) ชาร์ลตัน (2007) และดาร์บี้ (2008) ต่างก็มีอันต้องร่วงตกชั้นไป

ยอมรับตามตรงว่าเห็นสถิติที่ว่านี้แล้วเสียวอยู่ไม่น้อย กลัวว่าทีมตราไก่ จะมีอันต้องร่วงตกชั้นลงไปหากปัญหาต่างๆ นานา ที่เกิดขึ้นยังไม่ได้รับการแก้ไข ทั้ง กุนซืออ่อนภาษา กองหน้าฝืดเคือง ไดเร็กเตอร์เฮงซวย นักเตะใหม่ปรับตัวไม่ได้ ฯลฯ และ ฯลฯ

‘เล่นดีรอดตัว เอ็งล้มข้ากระทืบ’ คืองานที่นักข่าวอังกฤษถนัด ดูได้จากไม่กี่เดือนก่อนที่เพิ่งเขียนเยินยอการเข้ามาของฆวนเด้ รามอสว่าเปรียบดังผู้ชุบชีวิตให้กองเชียร์สเปอร์สมีความหวังในการสถาปนาทีมให้เป็นหนึ่งใน "บิ๊กโฟร์" หลังจากเอาชนะเชลซีได้คาร์ลิ่ง คัพ รอบชิงชนะเลิศ

ถัดมาไม่ถึงครึ่งปี "สื่ออังกฤษ" เวลานี้กำลังจ้องจะเล่นงานฆวนเด้ รามอสให้มีอันต้องโดนอัปเปหิจากเก้าอี้กุนซือของทีม โทษฐานไม่สามารถพาทีมเก็บชัยชนะได้เลย โดยล่าสุดนี่ก็เอาสถิติที่ไล่มาร์ติน โยลออกไปเมื่อ 12 เดือนก่อนมารื้อฟื้นหาตะเข็บอะไรไม่ทราบ

"เดอะซัน" สื่อที่ได้ชื่อว่าปั้นน้ำเป็นตัวเก่งแต่อ่านแล้วตาโตทุกที ล่าสุดรายงานว่ารามอสซึ่งตอนนี้ได้ฉายา "ทิงเกอร์แมน 2" ต่อจากเคลาดิโอ รานิเอรี่ ได้กลายเป็น "Dead Man Walking 2" ตามรอยกุนซือยูเวนตุสทุกอย่างเด๊ะ ขณะที่ "เดลี่เมล" ก็บอกสเปอร์สคงคิดถึงโยล ที่ตอนนี้พาฮัมบวร์กนำเป็นจ่าฝูงศึกบุนเดสลีกา
ฟังแล้วสะอึกปนคล้อยตามอยากเห็น รามอสโดนเด้งอยู่ไม่น้อยเผื่อทีมจะได้ดีขึ้น จนกระทั่งได้คุยกับพี่ "บีบิ๊ว" ที่ว่าการปลดรามอสไม่ใช่ทางออกของสเปอร์สในเวลานี้ "นักเตะผิด โค้ชไม่ผิด" สั้นๆ แต่ได้ใจความดีเพราะมันหมายถึงว่า การที่ทีมตราไก่ต้องรั้งบ๊วยอยู่แบบนี้ ความผิดอยู่ที่นักเตะมากกว่าที่ไม่สามารถ สร้างผลงานที่ดีในสนามได้

จาก 7 นัดที่ผ่านมา ปัญหานึงที่ผมคิดว่าแฟนบอลสเปอร์ส หลายคนพอจะมองเห็นเหมือนกันคือ ทีมชุดนี้ยังขาดความเข้าใจในการเล่นร่วมกัน ต่างคนต่างเล่นต่างคนต่างไปและขาดการสื่อสารระหว่างเกมที่ดี
เลดลีย์ คิงคือคนที่สั่งการเพื่อนได้ดีที่สุดในทีม ก็ดันเจอปัญหาบาดเจ็บส่วนตัวรุมเร้าและไม่ฟิตพอที่จะลงช่วยทีมทุกนัด เจอร์เมน จีนัสก็ไม่ใช่ผู้นำโดยธรรมชาติและ "ติ๋ม" เกินไปกับภาระอันใหญ่หลวงนี้

ในสนาม สเปอร์สกำลังต้องการ "ผู้นำ" ที่ตะโกนแหกปากสั่งการเพื่อน กระตุ้นเพื่อนยามที่เล่นไม่ดีและวิ่งสู้ฟัดยอมตายแทนเพื่อนร่วมทีมในสีเสื้อขาวนวล ให้สมกับเป็นนักรบบนสนามหญ้า กวาดตาดูเสียดายเหลือเกินที่ไม่มีร็อบบี้ คีนอดีตรองกัปตันทีมแล้ว ขานั้นวิ่งเป็นบ้าเป็นหลังแม้จะเป็นกองหน้า

ขณะที่แข้งปัจจุบันรายอื่นๆ ก็ถือว่าใหม่เกินไปที่จะรับบทบาทนี้ หากผมเลือกได้ส่วนตัวแล้วอยากจะ ให้ตำแหน่งรองกัปตันทีมนี้แก่ เจ้าหนูเจมี่ โอฮาร่าด้วยซ้ำ เพราะเป็นสายเลือดแท้ๆ ของสโมสรและมีคาแรกเตอร์ ผู้นำมากกว่าบักโจ้ห้าหลาหลายเท่าตัวนัก

อีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่ถือว่าละเอียดอ่อนมาก คือ "ความมั่นใจ" ของนักเตะในทีม ที่หลายครั้งบุกแทบตายแต่ยิงเค้าไม่ได้ พอนานเข้าก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ด้านจิตใจ ที่กลายเป็นไม่กล้าที่จะเล่น หรือเสี่ยงยิงเองในบางจังหวะที่ยิงเอง ได้แต่กลับเลือกมองหาเพื่อนจะจ่าย เฉกเช่น ลูก้า โมดริชในเกมล่าสุดที่มีอยู่จังหวะนึงมี จังหวะโล่งคนเดียวนอกกรอบเขตโทษ เวลาพอมีที่จะง้างยิง แต่ดันจ่าย จังหวะนี้ถ้าเป็นแฟรงค์ แลมพาร์ดหรือเจอร์ราร์ดผมเชื่อว่าทั้งคู่ลองเสี่ยงสับไกไปแล้ว เข้าไม่เข้าอีกเรื่องนึง

หลายคนอาจโยน "ขี้" ก้อนนี้ให้รามอสที่มีหน้าที่รับผิดชอบหลักในการนำทีมฝึกซ้อมและจัดแท็กติกส์+แก้เกมในสนาม บ้างก็ว่าดาเมี่ยน โคโมลี่ตังหากที่ต้องรับผิดชอบเรื่องการโยกย้ายนักเตะ ขายกองหน้าคนสำคัญออกไปแล้วหาตัวแทนที่ดีกว่าหรือการันตีประตูได้ชัวร์อย่างคีน-เบิร์บไม่ได้
จากที่เคยอยากใช้อารมณ์ตัดสิน "ปัญหา" มาตอนนี้ผมกลับมานั่งมองภาพรวมในมุมกว้างให้เป็นกลางมากขึ้น ผมเชื่อครับว่าทุกคนไม่ว่าจะเป็น ดาเนี่ยล เลวี่ประธานสโมสร ดาเมี่ยน โคโมลี่ ผอ.กีฬาหรือฆวนเด้ รามอสผู้จัดการทีมต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถแล้วและ ไม่มีใครอยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับสเปอร์สซึ่งถือเป็นองค์กรของตัวเอง
"องค์กรอยู่ได้ เราก็อยู่ได้" สโมสรไปได้สวยคนกลุ่มนี้ก็มีอนาคตที่ดีร่วมไปกับองค์กรเช่นกัน ดังนั้นผมไม่อยากให้เลวี่ ด่วนไล่รามอสหรือโคโมลี่ออกเพื่อ "หาแพะ" รับบาปสักตัว
ผมอยากให้คนสามกลุ่มนี้จับเข่าคุยถึงปัญหาโดนยืนอยู่บนรากฐานของความเป็นจริง ค่อยๆแก้ไขไปทีละจุดอย่าให้กระแสกดดันจาก "สื่อ" และ "แฟนบอล" มาเป็นตัวเร่งให้ต้องหาคนผิดในเวลานี้ เพราะถึงได้โค้ชใหม่มาก็ใช่ว่าจะเสริมตัวผู้เล่นใหม่ได้ตอนนี้ อย่างน้อยๆ ต้องรอมกราคมที่จะถึงตลาดเปิดนู่นเลย
หันหน้าเข้าหากันคือทางออกที่สเปอร์สทำได้ ณ เวลานี้แฟนบอลเองก็ต้องหนุนหลังทีมให้ถึงที่สุด อย่าให้ทุกสิ่งมันเลวร้ายไปมากกว่านี้

Tuesday 7 October 2008

London Corner : Tower of London ‘หอคอยผีสิง แห่งกรุงลอนดอน’



ดูสเปอร์ส เล่นแล้ว หมดอารมณ์จะอยู่บ้านครับ เลยชวนเพื่อนสาวชาวเกาหลี ‘โจ’ ออกไปเดินเล่นที่ Tower of London เมื่อเย็นวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

ช่วงนี้ การท่องเที่ยวของ กรุงลอนดอน เค้าทำ โปรโมชันสุดเก๋ ครับ คือแพ็กเกจ ‘2 For 1’ หรือ ไปสองจ่ายหนึ่ง กับสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น Madame Tussauds (พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทูสโซ่ว) London Dungeon (บ้านผีสิง) London Aquarium (พิพิธภัณฑ์นธ์สัตว์น้ำ) London Zoo (สวนสัตว์) ฯลฯ รวมทั้ง Tower of London หรือ หอคอยแห่งกรุงลอนดอน ที่อยู่คู่ประเทศอังกฤษมาช้านาน และเป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่ นักท่องเที่ยวทุกคน ต้องมาแวะ ถ่ายรูป หากไม่อยากได้ชื่อว่า มาไม่ถึงลอนดอน

ผมเอง ยอมควักเงิน 8 ปอนด์กว่าๆ (ราคาเต็ม 16.90 ปอนด์ แต่หารกับ โจคนละครึ่ง) กับการได้เข้าไปเยี่ยมชม ทาวเวอร์ ออฟ ลอนดอน เนื่องจากส่วนตัวเป็นคนชอบ เดินเที่ยว + หาประสบการณ์ใหม่ๆ จากที่ใหม่ๆ ให้ตัวเอง ได้รู้จัก โลกใบนี้ มากขึ้น เพราะเชื่อว่า เป็นประสบการณ์ชีวิต ที่ใครก็ไม่สามารถมาพรากจากเราได้ : ) สำหรับประวัติ พอสังเขป ของ ทาวเวอร์ ออฟ ลอนดอน นี้ ถือว่าน่ากลัวไม่ใช่เล่น เพราะหลายคนเรียกเจ้าหอคอยแห่งนี้ว่า ‘หอคอยเลือด’ หรือ ‘หอคอยผีสิง’ เนื่องจากมีประวัติ น่าสยดสยอง เกิดขึ้นมากมาย...

เดิมที หอคอยแห่งนี้ ถูกสร้างเป็นป้อมปราการเพื่อ ป้องกันกรุงลอนดอน ของกษัตริย์ วิลเลียม โดยใช้หินขนาดมหึมาสร้าง เพื่อความแข็งแรงและทนทาน โดยขุด คลองไว้รอบปราสาทที่พัก ด้วยเพื่อความปลอดภัย ยากต่อการโจมตี

ต่อมา พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ซึ่งมี มเหสีถึง 6 องค์ ก็สร้างตำนาน สยดสยองไว้เพียบ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างคุก และหอคอยสำหรับประหารชีวิต ที่ชื่อ (Bloody Tower) สำหรับนักโทษทางการเมือง หรือ ขุนนางกบฏ ที่หวังจะหุบอำนาจ โดย สอง มเหสี ของพระองค์ ก็ถูกประหารชีวิต ด้วย อย่างโหดเหี้ยม

ภายในหอคอย แต่ละจุด ที่ตอนนี้ ได้กลายเป็น พิพิธภัณฑ์ เปิดให้เข้าชมก็จะมีคุกใต้ดิน เครื่องมือประหาร ที่ใช้ประหารชีวิตขุนนางดังมากมาย เครื่องทรมาน แบบต่างๆ เรื่องราว ภายในห้องโถงต่างๆ ที่มีคำบรรยายไว้ละเอียดยิบ รวมถึง ชุดเกราะนักรบในสมัยก่อนของอังกฤษ ตราประจำราชวงศ์ เครื่องประดับของเจ้าหญิง โดย ‘ทีเด็ด’ ที่ดึงความสนใจของนักท่องเที่ยว ได้มากที่สุด น่าจะเป็น เพชรเม็ดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งถูกเก็บไว้ที่นี่ด้วย คือมงกุฎพระราชินี อลิซาเบธ 530 กะรัต !! (โชคไม่ดี ที่อดเก็บภาพมาฝาก เจ้าหน้าที่ห้ามถ่ายภาพ)

ผมยังแอบแซวกับโจเลยว่า ‘เราไม่ต้องเรียน + ทำงาน กันแล้วละ ถ้าได้มงกุฎนี้กลับบ้าน’
ประวัติก็ประมาณนี้ ดูรูปประกอบกันต่อ แล้วกันเนอะ...

ลูกกลม ๆ


วันอาทิตย์ที่ผ่านมาหวังไว้เต็มเหนี่ยวครับ ว่าจะได้เข้าไปชมเกม ‘คู่เอก’ เชลซี-แอสตัน วิลล่า ที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ หลังส่ง Accreditation request Form ไปที่ Press Office ของสโมสรเชลซี ตั้งแต่วันอังคาร รอแล้วรอเล่าจนถึงวันศุกร์ ในใจแอบคิด เค้าคงยืนยันการตอบรับมาว่าจะ พอมีที่นั่งเหลือให้เราหรือเปล่าใน... พอมาถึงวันเสาร์ก็ยังเงียบอีก !!

‘งานเข้า’ ผมต้องแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ 9 โมง โทร.ไปออฟฟิศเชลซี แต่ก็ไม่มีนายหรือนางคนไหนรับสาย จึงดิ่งไปที่สโมสรหนีบเอาหลักฐานใบแฟกซ์ ไปยืนยัน นอนยันกับเจ้าหน้าที่ ตั้งแต่ก่อนแข่ง 2 ชั่วโมงเศษ แต่ก็ได้รับคำตอบว่า ‘ไอ ไม่ได้รับแฟกซ์ ยู’

‘หยาบ’ ศัพท์ฮิตติดปากผมหลุดออกมาเป็นภาษาไทย ไม่เข้าใจครับว่า ทำไมแค่นี้ถึงไม่บอกกันตรง ๆ เข้าใจว่า ดีมานด์ของสื่อมวลชนที่ต้องการเข้าไปชมเกมนี้นั้นสูง แต่แค่คอนเฟิร์มให้เรารู้หน่อย ไม่ได้เชียวหรือ ?
กลับมาถึงบ้านก็ออนไลน์ MSN เจอ ‘ใหม่ โมบาย’ ที่มีประสบการณ์ที่อังกฤษอยู่นาน จึงบ่นให้ฟัง และผมก็ถึงบางอ้อทันทีเมื่อแกบอกว่า ‘เชลซี มันเป็นงี้แหละเอก ไม่ค่อยคอนเฟิร์ม ต้องรีบโทร.จิกก่อนวันแข่ง วันสองวัน’ ถือเป็น ‘ประสบการณ์’ ที่ไม่ค่อยดีนักสำหรับผมกับเชลซี...แต่จะพยายามมองโลกแง่ดี เพราะถือว่าเป็น ‘บทเรียน’ ไปละกัน คราวหน้าจะโทร.จิกให้สายไหม้เลยคอยดู !! ^^’

เข้าเว็บดูบอลออนไลน์ สองจิตสองใจอยู่สักพักว่าจะชมเกม เชลซี-วิลล่า หรือ แมนฯซิตี้-ลิเวอร์พูลดี เนื่องจากเป็นสองทีมหัวตารางทั้งคู่ แต่สุดท้ายเลือกชม ‘ทีมเรือสีฟ้า’ ปะทะ ‘หงส์แดง’ ลิเวอร์พูล เพราะคิดว่า เชลซีน่าจะเอาชนะวิลล่าได้ แม้จะมีตัวเจ็บหลายราย แต่ตัวสำรองอย่างที่เคยเรียนไปว่า คุณภาพ ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันมากมาย

ที่สำคัญ โครงสร้างทีมของ ‘บิ๊กฟิล’ สโคลารี่นั้น เน้น ‘ทีมเวิร์ก’ ไม่ได้พึ่งพาซูเปอร์สตาร์คนใดคนนึง เหมือนอย่างแมนฯยูฯขาดโรนัลโด้แล้วเป๋ หรือลิเวอร์พูลขาดเจอร์ราด์ด & ตอร์เรส ไม่ได้
แอสตัน วิลล่าฟอร์มดีก็จริง แต่ ‘คลาส’ และ ‘ประสบการณ์’ ของนักเตะทั้งสองทีมนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว อย่างที่มาร์ติน โอนีลยอมรับหลังเกมว่า ไม่รู้จะเอาอะไรไปสู้สิงห์ไฮโซ หากแข้งแต่ละรายบรรเลงเพลงแข้งได้สะเด่าแบบนี้

ส่วนเกม ซิตี้ฯ VS หงส์แดง ที่ ลูกทีมของ มาร์ค ฮิวจ์สออกนำไปก่อนในครึ่งแรก 2-0 แต่ตอนหลัง โดนยิงคืนสามลูกรวดแพ้ไปแบบน่าเจ็บใจนั้น คงต้องบอกว่า ‘จุดเปลี่ยน’ นึง มาจากใบแดง ของ พาโบล ซาบาเลต้า แบ็กขวาอาร์เจนไตน์ที่เสียบหนักใส่ชาบี้ อลอนโซ่แบบน่าเกลียด

เกมรุกของซิตี้นั้นดูเพลิน + สนุก นะครับ หลังจากเซ้งแข้งแซมบ้ามาหลายหน่อทั้งเอลาโน่ โจ และ โรบินโญ่ แต่แนวรับ ที่ผมยังแอบติงไปเมื่อวันเสาร์ในคอลัมน์ ‘ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่’ ว่ายังเชื่อใจไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะกัปตันทีม ริชาร์ด ดันน์ที่บทจะดีก็ดีใจหาย แต่บางเกมกลับดูเหวอ ๆ และยืนตำแหน่งผิดในหลายจังหวะ
ซึ่งตรงจุดนี้ผมว่าหากฮิวจ์สไม่ติดว่าดันน์เป็นหัวหน้าทีม บางนัดก็ควรจะให้โอกาสทาล เบน-ฮาอิม ที่อุตส่าห์ไปฉกมาจากเชลซีพิสูจน์ตัวเองดูบ้าง เพื่อเป็นการสร้างการแข่งขันภายในทีม ให้แนวรับเกิดอาการตื่นตัวมากกว่าที่เห็น

อีกคนที่ถูกลืมหลังจากการเข้ามาของโรบินโญ่ คือมาร์ติน เปตรอฟ ปีกซ้ายบัลแกเรียนที่เป็นพระเอกมาตลอดก่อนการปฏิวัติทีมในซีซั่นที่แล้ว ปีนี้บทบาท และโอกาสถูกจำกัดไปเยอะ (เพราะเจ็บ) เกมนี้ก็เช่นกัน ได้ลงมาแค่ 5 นาที และ ไม่มีเวลามากพอที่จะสร้างความแตกต่างให้เห็น

ขณะที่ขุนพลเรด แมชีน ที่โดนนำไปก่อน 0-2 แต่คัมแบ็กกลับมาเป็น ‘ผู้ชนะ’ ในเกมนี้ได้ นอกจากจะต้องชม จิตใจที่กล้าแกร่งของเหล่านักสู้ Kop Army แล้ว ก็ต้องไม่ลืม กราบขอบพระคุณหนึ่งในสุดยอดสไตรเกอร์ของลูกโลกหนังยุคนี้ อย่าง เฟร์นานโด ตอร์เรสที่ยิงเบิ้ลสองลูก และ โชว์ ‘สัญชาตญาณ’ นักล่าประตู ให้แฟนบอลได้ประจักษ์อีกครั้งว่า เค้าคือตัวจริง ไม่ว่าจะอยู่ ที่ใด ลีกไหน ก็สามารถระเบิดฟอร์มเทพได้

‘ได้อย่าง เสียอย่าง’ การได้มาซึ่ง 3 คะแนนของหงส์แดง ที่เป็นจ่าฝูงร่วมกับเชลซีในครั้งนี้ ก็ต้องเสียมาร์ติน สเคอร์เทลไป ถึงตอนนี้ ยังไม่รู้ว่าจะหนักหนาขนาดไหน และ ดาเนี่ยล แอกเกอร์ ที่โดนดองเค็มไปนาน หากได้โอกาสลงมาจะทำผลงานได้เสมอ เหมือนจอมแกร่งอย่างสเคอร์เทลรึเปล่า น่าสนใจครับ
ขณะที่พรีเมียร์คู่อื่นๆในวันอาทิตย์ เมื่อรวมกับวันเสาร์แล้ว ถือว่าพลิกความคาดหมายมากมายหลายคู่ อาร์เซนอลที่ว่าเข้าวินแน่ ๆ บุกแทบตายทำได้แค่เสมอซันเดอร์แลนด์ วีแกน ทีมฟอร์มดีโดนโบโร่ยิงเอานาทีสุดท้าย หรือ ฟูแล่ม ที่เล่นดีแต่แพ้อีกแล้ว

เอฟเวอร์ตัน เล่นในบ้านตัวเอง กลับไม่สามารถรังแกทีมที่มีปัญหามากมายอย่างนิวคาสเซิลได้ เวสต์แฮม ของจิอันฟรังโก้ โซล่าก็เช่นกัน คงหมดช่วงเวลา ‘ฮันนีมูน’ แล้ว เพราะ กล้า ๆ โดน โบลตันมาลูบคมถึงบ้าน พร้อมทั้งคำถามตัวเบ้อเริ่ม ถึงความ ‘เหนียวแน่นหนึบ’ ของ ‘คุณเขียว’ ร็อบ กรีน ที่ซองแตกซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเกมนี้

ไม่นับ สเปอร์ส ที่เสริมทีมให้วุ่นวายช่วงหน้าร้อน เจอ ‘ไอ้เสือร้าย’ ฮัลล์ ซิตี้ของฟิล บราวน์ บุกมาขย้ำคอไก่หักอนาถถึงเล้า กองเชียร์ไก่อับอายกับสถิติใหม่ ย่ำแย่ที่สุดตั้งแต่ปี 1912

วัยรุ่นเซ็ง คือคำจำกัดความที่ สรุปความรู้สึกผมได้ดีที่สุด ในเวลานี้หลังทำนายผลการแข่งขันผิดไปเพียบ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา...แต่ใจนึงก็อดปลงตกไม่ได้ กับ ‘ความไม่แน่นอน’ ของ โลกเบี้ยว ๆ ใบนี้ของเรา ที่อะไรก็เกิดขึ้นได้กับลูกกลม ๆ ที่มีชื่อว่า ‘ฟุตบอล’