Thursday 25 September 2008

อาร์เซนอล"เต็งหนึ่ง"คาร์ลิ่งคัพ 2008-2009


หลังจากกลับมาประจำการที่อังกฤษ ได้สองอาทิตย์ ในที่สุดอะไรหลายๆอย่างในชีวิต ของผมก็เริ่มลงตัว และเข้าที่เข้าทางแล้วละครับ : )

ทั้งสภาพอากาศที่แม้จะหนาวขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็เริ่มชิน เรื่องเรียนก็ปรับตารางเวลาตัวเอง จนในที่สุดก็เจอ ‘จุดสมดุล’ และสุดท้าย ไลเซนส์ของ "คิกออฟ" ที่เป็นกังวล ก็ได้มาและคาดว่าหากโชคดี สุดสัปดาห์นี้ผมจะได้ออกไปดูเกมสดๆ ที่ขอบสนามซะทีหลังจากที่พรีเมียร์ชิพ ได้ฤกษ์เปิดฉากไปสักพักใหญ่แล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดีจายครับ

เพื่อเป็นการ ฉลองการคัมแบ็ก ทู ลอนดอนให้ตัวเอง วันอังคารที่ผ่านมา ผมก็เลยหาโอกาส แวบ ออกไป ปลดปล่อยอารมณ์สบายๆนอกบ้าน โดยพาเพื่อนซี้ต่างวัย ‘แมทธิว’ เด็กลูกครึ่งไทย-ฮ่องกง วัย 16ไปฉลองวันเกิดย้อนหลังให้น้องชายที่ร้านอาหารจีน แถวไชน่าทาวน์ซะหน่อย โดยงานนี้แม้ผมจะออกปากขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงน้อง แต่คุณแม่ของแมทธิวไม่ยอมครับ ผมจึงได้ ลาภปากเป็น ติ่มซำ ข้าวหน้าเป็ด และ ไอศครีม Hagen Daz (อิอิอิ โชคดีได้อีก)

เสร็จจากการพาน้องไปหม่ำข้าว และเดินเล่น แถวๆ เลสเตอร์ สแคว์ (Leicester Square) ซึ่งไม่ไกลจากย่านไชน่า ทาวน์ ผมก็ปิดของท้ายวันด้วยการไปชม ฟุตบอลคาร์ลิ่งคัพคู่ แมนฯยูฯ-โบโร่ที่ผับ ซึ่งผลการแข่งขันที่ออกมาก็ถือว่าไม่ต่างจากที่ผมคาดไว้สักเท่าไร เพราะแมนฯยูฯ ชนะไปตามฟอร์มแม้ว่าจะส่งชุดผสมลงสนามในเกมนี้ก็ตาม

นักเตะดาวรุ่ง พวกตัวสำรอง รวมถึงพวกเพิ่งเรียกความฟิตกลับมาได้ อย่าง คริสติอาโน่ โรนัลโด้ ถูกส่งลงสนามในเกมนี้ เพื่อ เคาะสนิม และเรียกความมั่นใจจาก Competitive แมตช์บ้าง เพื่อให้ชิน+คุ้นเคยกับจังหวะของเกม หากต้องลงสนามในบางครั้งบางคราวที่ทีม เจอกับปัญหาผู้เล่น เจ็บ-แบน ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกหนีไม่พ้นอยู่แล้วระหว่างฤดูกาล

และก็เหมือนทุกๆปี ฟุตบอลคาร์ลิ่ง คัพ ยังเป็นแค่ ‘ถ้วยน้ำจิ้ม’หรือ ‘สนามเด็กเล่น’ สำหรับทีมใหญ่ๆอย่างเช่นเคย จะมีก็แค่ทีมระดับกลางกึ่งล่างเท่านั้นครับที่ให้ความสนใจกับถ้วยใบนี้
ดังนั้นอย่าแปลกใจครับ หากว่าเราเห็นทีมในพรีเมียร์ชิพ พลาดท่าตกรอบ เร็วกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งฟูแล่มและเวสต์แฮม สองทีมจากลอนดอนคือ ตัวอย่างที่ดูตัวผู้เล่นที่ถูกส่งลงสนามก็รู้ว่า ไม่เน้นกับถ้วยใบนี้ แม้ว่าจะจัดอยู่ในข่ายทีมกลางๆก็ตามที

ใจนึงก็รู้นะครับว่า จิอันฟรังโก้ โซล่า และรอย ฮอดจ์สัน นั้นมีนักเตะค่อนข้างจำกัด ดังนั้น ครั้นจะส่งชุด 11 คนที่ดีที่สุด ลงสนามตลอด ทุกถ้วย ทุกเกมนั้น คงเป็นไปไม่ได้ และ อันดับในลีกนั้นมีความสำคัญมากกว่า จึงต้องเลือกเอา อย่างใดอย่างนึง

สโต๊ค และ ซันเดอร์แลนด์ อีกสองทีมจากพรีเมียร์ชิพ ที่ทำได้แค่ เสมอ 2-2 กับทีมต่ำชั้นกว่าทั้งคู่ ก็ถือว่าเอาตัวรอดได้อย่างหวุดหวิด ไม่อย่างนั้น ปีนี้ ความน่าสนใจของ คาร์ลิ่ง คัพ จะลดน้อยลงไปเยอะทีเดียว หากไม่เหลือทีมระดับพรีเมียร์ชิพให้ ได้ตามเชียร์กัน

อย่างไรก็ดี หลังเห็นฟอร์ม และ สกอร์ไลน์ 6-0 ของเด็กๆอาร์เซนอล ที่ยำใหญ่ เชฟฯยูไนเต็ด แล้วก็คงต้องบอกว่าเวนเกอร์และเด็กยังกันส์ มีความปรารถนาที่แรงกล้ากับถ้วยใบนี้สูงมาก และ ผมก็กล้าฝันแทนแฟนปืนโตเลยครับว่า ปีนี้มีลุ้นมากเหลือเกินที่จะเข้ารอบลึกๆ ในถ้วยนี้ ดีไม่ดีถึงแชมป์ได้เลย หากยังเล่นได้ยอดเยี่ยมแบบนี้

สไตล์ และ ระบบของทีมที่ถูกวางไว้แน่นจากฐานราก อย่างที่เคยเรียนไว้ ก็เล่นได้แจ่ม และเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพไม่ต่างจากทีมชุดใหญ่ แม้เกมนี้จะส่ง นักเตะอย่าง คีแรน กิ๊บส์ แอร่อน แรมซีย์ ฟราน เมริด้า แจ็ก วิลเชียร์ และ คาร์ลอส เบล่า ซึ่งถือว่าเด็กมาก แต่เด็กชุดนี้ ก็เต็มไปด้วย ศักยภาพ และมีอนาคตที่สดใสรออยู่

น่าปลื้มแทน แฟนบอลอาร์เซนอลนะครับ ที่มี กุนซือ และบอร์ดบริหาร มีแนวทางในการทำทีมเหมือนกันคือ เน้นให้ความสำคัญ กับระบบเยาวชน ทีมงานแมวมองที่มีอยู่ทั่วโลก รวมถึงสายตาของเวนเกอร์ที่เข้าขั้นสุดยอดอยู่แล้ว เมื่อรวมกับระบบการเล่นที่เน้นให้เล่นเป็นระบบเดียวกันทุกรุ่น ทำให้จะจับใครไปเล่นตรงไหน ก็ไม่ใช่ปัญหาของทีมปืนโตชุดนี้

ครับ..ถึงผมจะยังไม่แน่ใจว่าอาร์เซนอล จะไปได้ไกล และยืนระยะได้แค่ไหนในลีก แต่กับเส้นทางคาร์ลิ่ง คัพ ที่หลายๆทีม ไม่เน้นให้ความสำคัญนัก ผมเชื่อครับว่า ทีมปืนโตนี้แหละคือ เต็งหนึ่งในใจใครหลายคน รวมทั้งตัวผมเอง

Wednesday 24 September 2008

Director of Football... ...พวกคุณนั่นแหละคือจุดอ่อน


ถือว่าอยู่ในช่วง พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก อย่างแท้จริงสำหรับนิวคาสเซิลที่ นับตั้งแต่ เควิน คีแกน เปิดตูดลาออกไป ก็มีแต่ความวุ่นวาย ไม่รู้จักจบจักสิ้น
แฟนบอลก่อหวอด ประท้วง ขับไล่ประธานสโมสร อย่างหนักและ ต่อเนื่องถือเป็นภาพ ที่เราไม่ได้เห็นกันบ่อยนักในวงการฟุตบอล ฟอร์มรูดมโหฬารในลีก นักเตะแต่ละคนเริ่มเป็น กังวลกับอนาคตการค้าแข้งของตัวเอง + ไร้ซึ่งแรงบันดาลใจที่จะลงเตะ และปัญหามากมาย ที่อีกนับไม่ถ้วน ฯลฯ และ ฯลฯ
แต่บัดนี้ครับ เหล่าแฟนของทูนอาร์มี่ น่าจะได้มีรอยยิ้มเล็ก ๆ กันมากขึ้น หลังเห็นข่าวการเร่งขายสโมสรของไมค์ แอชลีย์ โดยล่าสุดก็ได้จ้าง ‘ตัวกลาง’ อย่าง เซย์มัวร์ เพียร์ซ (Seymour Pierce) ซึ่งเป็นธนาคารเพื่อการลงทุนของประเทศอังกฤษ เป็นผู้ดูแล และจัดหานายทุนผู้สนใจ มาให้ "เฮียตือ" เลือก หลังจากเหนื่อยกับการวิ่งหานายทุนเอง
ชื่อของ ‘เซย์มัวร์ เพียร์ซ’ อาจจะไม่คุ้นหูแฟนบอลมากนัก แต่หากศึกษาให้ดีเราจะพบว่า ซีอีโอ ของพวกเค้าคือ คีธ แฮร์ริส ซึ่งที่ผ่านมาก็ฝากผลงานไว้มากมายกับบทบาท Football deal-broker หรือ ‘โบรกเกอร์ฟุตบอล’ ที่ติดต่อเจรจาให้ ดีล เชลซี กับ "อากู๋" โรมัน อราโมวิช และ แมนฯซิตี้ กับ เสี่ยแม้ว อดีตนายกฯ ไทยเรา ประสบความสำเร็จมาแล้ว
สื่อน้อยใหญ่ ในเมืองผู้ดีหลายสำนัก ก็ยืนยันตรงกันครับว่า ขณะนี้ ความเป็นไปได้ที่ นิวคาสเซิลจะถูกเปลี่ยนมือในเร็ววันนี้นั้น มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จาก ผู้สนใจจาก ทั้ง จีน กาตาร์ ดูไบ และ ล่าสุดกลุ่มผู้ลงทุนจากไนจีเรีย ที่กำลังจะเป็น ‘ม้ามืด’ ยื่นข้อเสนอให้ ‘เฮียตือ’ รับไว้พิจารณา
อย่างไรก็ดี ผมคิดว่า Asking Price 400 ล้านปอนด์ ที่แอชลีย์ แปะป้ายไว้ออกจะสูงไปนิด หากเทียบกับตอนที่เฮียแกซื้อมาแค่ 134.4 ล้านปอนด์ และอีก 110 ล้านปอนด์ กับค่าตัวนักเตะ เบ็ดเสร็จก็ตกอยู่ราวๆ 244.4 ล้านปอนด์
ดังนั้นผมคิดว่าหากแกจะหวังดีกับนิวคาสเซิลจริงๆ ราคา 300-350 ล้านปอนด์ ก็น่าจะพอหยวนๆกันได้ เพราะได้กำไรเข้ากระเป๋าไปพอสมควร และที่สำคัญที่สุด สโมสรจะได้รีบ Set Up แผนผังองค์กร + หาผู้จัดการทีมใหม่ เพราะอย่างที่ทราบนะครับ ตราบใดที่ยังไม่มีการ เทกโอเวอร์ อย่างเป็นทางการ ผู้จัดการทีม มีกึ๋น มีระดับที่ไหนก็คงไม่โง่มาคุมทีมที่อนาคตคลุมเครือ ไม่รู้จะออกหัวหรือก้อย แบบนี้แน่
เพราะลำพังอย่างที่เราเห็น แคร์เทกเกอร์ อย่าง คริส ฮิวจ์ตัน ก็เล่นได้แค่บท ‘พระรอง’ และ ไม่มีบารมีในการที่จะก้าวมาคุมทัพเสียเลย ทั้งแท็กติกส์ที่วาง และการกระตุ้นลูกทีมข้างสนาม
ฉะนั้นก็ได้แต่ลุ้นละครับว่า ทูนอาร์มี่จะได้เฮดังๆ กับเจ้าของใหม่ที่ เร็วๆ นี้...
สำหรับโปรแกรมของนิวคาสเซิล ค่ำคืนนี้ พวกเค้าจะลงสนามพบกับ สเปอร์ส ในศึกคาร์ลิ่งคัพรอบสาม โดยคู่นี้ผมว่าเป็นมวย ที่มาเจอกันถูกที่ ถูกเวลามั่ก ๆ เพราะว่า ฟอร์มห่วยพอกันในลีก (ฮ่า)
ทีมนึงสภาพเป็น นกสาลิกาปีกหัก บินเรร่อน หาเจ้าของ ขณะที่ผู้มาเยือน จากสมญานาม ไก่เดือยทอง ที่ดูหะรู หะรา น่าเกรงขาม บัดนี้ทำตัวเป็น ไก่แช่บ๊วย ให้ทีมอื่นหัวเราะเยาะและแซวแฟนสเปอร์สกันสนุกปาก เพราะปิดเทอมใหญ่ที่ผ่านมา ลงทุนไปแต่งองค์ทรงเครื่องทีมอย่างหล่อ หวังจะก้าวไปติด ‘ท็อปโฟร์’ แต่สุดท้ายก็ ความฝัน ลมๆ แล้ง ๆ อีกตามเคย
นิวคาสเซิล และ สเปอร์ส มีอะไรคล้ายๆ กันหลายอย่างครับ ทั้งการเป็นสโมสรที่ขนาดกลางกึ่งใหญ่ (แต่ไม่ใหญ่) แต่แฟนบอลกลับเรียกร้อง โหยหาความสำเร็จ + คาดหวังจากทีมสูงน่ากลัว จนบางครั้งลืมมองโลกแห่งความเป็นจริงที่ว่า แมนฯยูฯ เชลซี อาร์เซนอล และ ลิเวอร์พูล คือ พี่ใหญ่ตัวจริงในลีก
ครั้นจะไปขอแทรก ทีมอย่าง วิลล่า หรือ เอฟเวอร์ตัน ที่ฟอร์มสม่ำเสมอกว่าในช่วงขวบปีหลัง ก็ดันไม่ได้อีก แฟนๆ ก็เลยเกิดอาการ Frustate หรือ อารมณ์บ่จอย โห่ทีมตัวเองให้เห็นกันในปีนี้ (นักเตะสเปอร์สโดนแฟนตัวเองโห่แล้วในเกมล่าสุดที่เสมอวีแกนในบ้าน)
ตำแหน่ง Director of Football หรือ ผู้อำนวยการฟุตบอล ที่ เดนนิส ไวส์ และ เดเมี่ยน โคโมลี่ กุมบังเหียนอยู่ ก็เป็นอีกหนึ่ง ‘ต้นตอ’ สำคัญที่ผมมองว่าเป็น จุดอ่อน ของทั้งสองทีม ที่ควรรีบถูกกำจัดออกก่อนที่อะไรๆ สายเกินแก้...
ในรายของ เดนนิส ไวส์ นั้นอย่างที่ทุกคนทราบกันอยู่แล้วครับว่า จุ้นจ้าน ไปซะทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการซื้อขายนักเตะใหม่ ต่อสัญญานักเตะเก่า หรือไปเป่าหูแอชลีย์ให้ขาย โจอี้ บาร์ตัน และ ไมเคิล โอเว่น ออกจากทีม
ขณะที่ โคโมลี่ ถึงจะไม่ร้ายเท่า ไวส์ แต่ จำได้แม่นเลยครับว่า ครั้งนึง มาร์ติน โยล เคยออกมาสับนายโคโมลี่ คนนี้ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ทีมสเปอร์สของโยลเสียบาลานซ์ และผลงานออกทะเลจนโดนปลดในที่สุด
ครั้งนั้นยอมรับเลยว่า แอบว่ากุนซือหัวเหม่งชาวดัตช์ว่ารำไม่ดี โทษปี่โทษกลอง แต่ตอนนี้ผมเริ่มปักใจเชื่อคำกล่าวหาของโยลที่มีต่อ โคโมลี่แล้วล่ะครับ
สายตาการเป็น Scout ของโคโมลี่รวมถึงการให้คำปรึกษาแก่รามอสนั้น ถือว่า ‘สอบตก’ อย่างรุนแรง มีอย่างที่ไหนปล่อย สามหอกพระกาฬ ไล่มาตั้งแต่ เดโฟ คีน เบอร์บาตอฟ ออกจากทีม และได้กองหน้าที่ไม่มีใบการันตีประตูอย่าง โรมัน พาฟลูเชนโก้ มาจับคู่กับสากอย่าง ดาร์เรน เบนท์ !!??
การปล่อยผู้เล่นที่เป็นเสาหลักและเล่นได้ดีพอตัวในซีซั่นที่แล้วอย่าง สตีด มัลบรองค์ ก็ถือว่าเสียหายมากเนื่องจากปีกฝรั่งเศสรายนี้ เป็นคนนึงที่ฟอร์มสม่ำเสมอมากที่สุดคนนึงเลยหากไม่นับ คีน-เบอร์บา ที่เป็นสองตัวชูโรงของทีม
ส่วนตัวผมค่อนข้างเชื่อนะครับว่า การตัดสินใจ ซื้อ-ขายผู้เล่นในทีมสเปอร์ส ไม่ได้มาจากไอเดียของรามอสเพียว ๆ และ 80 % ของทุกดีลเป็นการตัดสินใจของโคโมลี่แทบทั้งสิ้น ดังนั้น หากบอร์ดบริหารสเปอร์สเริ่มคิดที่จะไล่รามอสออกผมว่ามันไม่ค่อยแฟร์เท่าไร เพราะโคโมลี่ต่างหากที่อยู่เบื้องหลังการซื้อ-ขาย จะไล่ก็ควรจะไล่ทั้งคู่ถึงจะถูก
บทบาทของผู้จัดการทีมในพรีเมียร์ชิพ เปลี่ยนไปมากจริงๆ ครับ จากที่เคยมีอำนาจเด็ดขาดในการซื้อ-ขาย ปัจจุบันเหลือแค่จัดทัพ คุมทีม ขณะที่เรื่องต่างๆ นอกสนามเป็นหน้าที่ของ ผู้อำนวยการกีฬาเกือบหมด
คนเป็นประธานสโมสรเองก็ต้องแบ่งหน้าที่ และขอบเขตความรับผิดชอบให้ชัดเจนด้วย อย่าให้ ตำแหน่ง ผอ. ฟุตบอลมาทำให้ทีมเสียบาลานซ์ หรือ สปิริต ของทีมอย่างที่ สเปอร์ส กับ นิวคาสเซิล กำลังประสบพบเจออยู่
หาไม่แล้ว ก็จะอมบ๊วยเค็ม จมอยู่ก้นตารางอย่างที่เห็น...

Monday 22 September 2008

ปัญหาเดิม ๆ ของหงส์แดง-ปืนโต!

พรีเมียร์ชิพคู่วันเสาร์ที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าเป็นอีกครั้งนึงที่เซียน หรือเกจิอาจารย์ดังทั้งไทย เทศ ปากกาหักกันเป็นแถบ ๆ โดยเฉพาะคู่ ลิเวอร์พูล-สโต๊ค ซึ่งเจ้าบ้านทำได้แค่เสมอ ทั้งๆที่ ผลงานที่ผ่านมา ประกอบกับตัวผู้เล่นที่เหนือกว่าบานเบอะ จึงทำให้มองเหลี่ยมไหน มุมไหน ก็ไม่น่าจะพลาดกันฟัน 3 แต้มเข้ากระเป๋า

ขณะนี้เวลา 2 นาฬิกา กับ 2 นาที 44 วินาที...หนุ่มไทยหัวใจไก่ เข้ามาชมเกมนี้ที่ผับแถวบ้านย่าน Earls’ court เพื่อตามผลงานตัวเองเสียหน่อยหลังให้หงส์แดงเป็น ทีเด็ดประจำสัปดาห์

‘โว้ว โวว เย เย่’...ผมนั่งกรุ้มกริ่ม ฮัมเพลงในใจ หลังเห็น สตีวี่ จี ยิงฟรีคิก สุดใสสะอาด เข้าประตูไปอย่างสวยสด งดงาม เพราะไปฟันธงในคอลัมน์ ‘ไม่เชื่ออย่าลบหลู่’ ของตัวเองไว้ว่า หงส์จะชนะใส + หัวขิงจะเบิกลูกที่ 100ให้ตัวเองได้ในเกมนี้

เพียงครึ่งนาทีหลังจากนั้น ความรู้สึกของผมก็เหมือนถูกถีบลงมาจากยอดเขาเอเวอร์เรสต์ เพราะกรรมการเจ้ากรรม อย่าง อังเดร มาร์ริเนอร์ ดันพลาดตาถั่วเข้าใจว่า เดิร์ค เคาท์ล้ำหน้า !!??

'ตรงไหนฟร่ะ’ ผมอดถามตัวเองไม่ได้ ตอนที่ยังไม่ได้เห็นภาพช้าในจังหวะนี้ และคำอุทานก็เปลี่ยนเป็น ‘บัดซบ’ แทบจะทันทีที่เห็นภาพช้าที่ฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วงพักครึ่งเวลาแรก ทางช่อง ESPN ที่ผมชมอยู่ เพราะจังหวะนี้ ยังไง ๆ ก็เป็นประตู อย่างที่สายตาหลายล้านคู่เห็นพ้องตรงกัน ยกเว้นนาย อังเดร มาร์ริเนอร์ คนเดียวที่สะเหล่อเป่าเป็นลูกล้ำหน้า และคงโดนสวดยับ แบบไม่ต้องสืบ เนื่องจากช็อตนี้เปลี่ยนหน้าตาของผลการแข่งขันในเกมนี้ไปแบบเต็มเหนี่ยว

ประเด็นนี้ ได้รับการพูดถึงมานานนะครับ ว่าวงการฟุตบอลควรเอาภาพช้ามาตัดสินเปลี่ยนผลการแข่งขันหรือไม่ เพื่อให้ความยุติธรรมในเกมลูกหนังสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ?

จอห์น เทอร์รี่ ยังโดนลดโทษแบน ได้เลย ทั้ง ๆ ที่ กรรมการควักใบแดงไล่ออกไปแล้ว แต่ภายหลังก็ยังมีการแก้คำตัดสิน.... นับประสาอะไรการยิงประตูได้แบบขาวสะอาด แต่ไม่ถูกนับให้ไปเป็นประตู +ส่งผลโดยตรงกับผลการแข่งขัน เซ็ปป์ แบล็ตเตอร์ และทีมงานของฟีฟ่า น่าเก็บเอาไปคิดเหมือนกันนะครับเนี่ย

อย่างไรก็ดี ราฟาเอล เบนิเตซ และแฟนบอลลิเวอร์พูลเองก็ต้องยอมรับข้อจริงประการนึงที่ว่า พวกเค้าเล่นกันไม่ดี + ไม่คมพอเอง ในเกมนี้ เพราะรู้อยู่เต็มอก ว่า สโต๊ค นั้นมาอุดแน่ ๆ ดังนั้นการได้มาแค่ 1 คะแนน แต่รู้สึกเหมือนแพ้ ก็โทษใครไม่ได้อีกเช่นกัน นอกจากส่องกระจกดูเงา และโทษตัวเองบ้าง ในความไม่สม่ำเสมอของตัวเอง

เพราะต่อให้ เอาชนะ แมนฯยูไนเต็ด ได้แบบไป-กลับ แต่มาทำ หมูหก กับทีมดาด ๆ เรี่ยราดแบบนี้ การจะฝันถึงแชมป์ นั้นบอกตรงๆ แบบไม่กลัวแฟนหงส์เคืองเลยว่า โอกาสนั้นแทบจะเป็นศูนย์
อีกจุดนึงที่สื่ออังกฤษ หลายสำนักเริ่มตั้งเป็นประเด็น นอกเหนือจากฟอร์ม สามวันดี สี่วันร้าย ของลิเวอร์พูล หลังเกมนี้ก็คือ การลงเล่น 8 นัด แต่ยังแห้งแล้งประตู จาก หัวหอกค่าตัวแพงอย่าง ร็อบบี้ คีน ที่เกมนี้ มีโอกาสเหน่งๆ 2-3 จังหวะ และน่าปลดล็อก ให้ตัวเองได้แล้ว แต่กัปตันทีมชาติไอร์แลนด์ กลับยิงเหมือนกลัวว่าบอลจะเจ็บเสียอย่างนั้น
ผมเองเคยเขียนไว้ในคอลัมน์ เมื่อช่วงต้นฤดูกาลว่า คีนน้อยไม่น่าจะสอบตกในถิ่นแอนฟิลด์ ถึงตอนนี้ก็ยังเชื่ออยู่แบบนั้นนะครับ เพราะ คิดว่า ตอนนี้ คีนน้อย ยังขาดโชค และ ความมั่นใจ อยู่เล็กน้อย แต่รอให้เบิกสกอร์แรกให้ตัวเองได้ ‘ความเก๋า’ + ‘ความทุ่มเท’ ที่ไม่มีหมดของเจ้าตัว จะสร้างประโยชน์ให้ทัพหงส์ ได้มหาศาลแน่นอน

มาพูดถึงเกมอื่นๆ ที่ลงเตะไปเมื่อวันเสาร์เช่นกัน อาร์เซนอล ที่ผมทายผลถูก ก็เล่นได้ตามใบสั่ง ของเวนเกอร์และยังน่ากลัวเหมือนเดิมกับแนวรุก ที่ไม่ว่าจะจับใครลงเล่น (เกมนี้ คู่หน้าเป็น อเดบายอร์& เบนด์ทเนอร์) ก็แทนกันได้ เพราะยืนพื้นด้วยระบบการเล่นที่เป็นรากฐานของทีม ไล่มาตั้งแต่ ชุดเยาวชน ทีมสำรอง ทีมชุดใหญ่ นักเตะทุกคนของพวกเค้า รู้งาน ว่าต้องเล่นอย่างไร ควรทำอะไรในจังหวะไหน

นี้แหละครับทีมที่จะยืนระยะได้อย่าง มั่นคงและยั่งยืน โดยไม่ต้องอาศัย เม็ดเงินจำนวนมากในการกว้านซื้อแข้งดังระดับโลกมาร่วมทีม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเล่นได้เข้าระบบกับทีมหรือไม่ ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่ สเปอร์ส คู่ปรับ ตัวเอ้ ในกรุงลอนดอน ยังไม่เข้าใจ และ ตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างทีมจากรากฐานที่ปูพื้นให้แน่นตั้งแต่ ฐานล่าง
หากต่อไป พรีเมียร์ชิพถึงคราวถังแตกตามเศรษฐกิจโลกจริง ๆ ผมก็ว่าอาร์เซนอลนี่แหละครับ ที่จะก้าวขึ้นมาผูกขาดแชมป์ได้ เพราะทีมอื่นๆ อย่าง แมนฯยูฯ เชลซี แมนฯซิตี้ หรือ สเปอร์สเอง ยังคงเน้นหนักไปทาง จ่ายเงินแลกกับความสำเร็จ ก็น่ากลัวครับว่า จะเสร็จทีมที่มีระบบการเล่นแน่นฝังรากแบบอาร์เซนอล

อย่างไรก็ดี ปัญหาเดิม ๆ ที่ผมยังคงมองเห็นจากทีมปืนโต ชุดนี้ก็คือ บทจะเล่นดีก็ดีใจหาย แต่เมื่อไร ที่สะดุด และ ความมั่นใจของ เด็กชุดนี้ตก ก็กลัวครับว่าจะเข้าอีหรอบเดิมแบบซีซั่นก่อน ๆอีก ที่นำเป็นจ่าฝูงอยู่ดีๆ ก็หัวคะมำ ปล่อยให้ทีมอื่นแซงไปแบบน่าเสียดายแทนยิ่ง

ครับ ถึงตอนนี้ ก็ยังพูดอะไรไม่ได้มาก เพราะเส้นทางยังอีกไกล แต่ถ้าให้ผมเดา ก็กลัวเหลือเกินว่าปีนี้ จะยังเป็นการแย่งแชมป์ของ แมนฯยูฯ และเชลซี อีกครั้ง หากว่า หงส์ ยังไม่สม่ำเสมอแบบนี้ และขุมกำลังที่มีอยู่อย่างจำกัดของอาร์เซนอล ยังอ่อนประสบการณ์เกินไปสำหรับฟุตบอลลีกที่เตะกันถี่ยิบ + ยาวข้ามปี

Friday 19 September 2008

ผีแดง "อิ่มตัว" จากความสำเร็จ ??


รู้สึกเหมือนผมมั้ยครับว่า อาการ "แฮ้งโอเวอร์" ของทัพนักเตะปีศาจแดง ในความสำเร็จจากเมื่อฤดูกาลที่แล้วยังคงแสดงอาการ ให้เห็นกันอยู่ ?

การได้ตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีก รวมไปถึง การก้าวขึ้นไปนั่งแท่นราชันแห่งเจ้ายุโรปอีกครั้ง บางทีอาจจะทำให้ความกระหื่นกระหายของนักเตะและกุนซือ ซึ่งก็เป็น มนุษย์ปุถุชนธรรมดา ที่ได้มาซึ่งความสำเร็จที่ตัวเองหวังเอาไว้เรียบร้อยแล้ว อาจจะทำให้ความรู้สึกอยากได้ อยากมี ลดน้อย ถอยตามลงไป...

ลองนึกภาพเอาน่ะครับ นักเรียนนักศึกษาที่เพิ่งสอบเสร็จ หรือ เรียนจบได้เป็นบัณฑิตมาหมาดๆ นักการเมือง หรือ นักกีฬาดังๆ ที่ได้รับความสำเร็จถึงขีดสุด คนเหล่านี้ (จริงๆ ก็เกิดขึ้นแทบกับมนุษย์ทุกคนนั้นแหละ) บางครั้งอาจเกิดความรู้สึก ‘อิ่มตัว’ หรือ อยากพัก จากเรื่องหนักๆ บ้างก็เป็นได้

ภาพรวมนับตั้งแต่เปิดฤดูกาลเป็นต้นมา เรื่อยไปถึงเกมล่าสุดที่ปะทะ บีญาร์เรอัล ทีมผีแดงเล่นได้เงียบเชียบ ผิดวิสัยโคตรทีมที่ตราตรึงและสะกดใจ แฟนบอลทั่วโลก ที่ยัง ‘ติด’ กับภาพในวันวานว่าพวกเค้าพร้อมจะกะซวกคู่แข่งทุกรายให้ไส้แตกยามเล่นในบ้าน

มันก็เลยเป็นที่มา และ ที่ไป ซึ่งทำให้ผมแอบคิดไม่ได้ครับว่า พวกเค้ากำลังยังไม่ฟื้นจากอาการเมาค้างที่ว่า...

จริงอยู่ที่ หลายคนอาจจะเถียงว่าผม ตื่นตูม ด่วนสรุปเกินไปรึเปล่า เพราะทัพผีแดงเองก็ยังประสบปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บ (คาร์ริค 6 สัปดาห์ ,เบอร์บาตอฟเจ็บเข่าจากเกมเรดไฟต์) ขณะที่บางรายก็เพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บ อย่าง แกรี่ เนวิลล์ (กลับมาดูเชื่องช้าไปเยอะ) นานี่ ,โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ และ คริสติอาโน่ โรนัลโด้ ความหวังสูงสุดของทีมที่กลับมาลงสนามได้เร็วเกินคาด แต่ก็ยังไม่ฟิตเต็มร้อยกันสักคน

ดังนั้น หากจะให้วิจารณ์ฟอร์มของยูไนเต็ด ในเกม ผีแดง VS เรือดำน้ำ ผมก็คงต้องเรียนไปตามเนื้อผ้าว่าพวกเค้าเล่นเหมือนไม่ใช่ ปิศาจแดง ทีมเดิม เพราะตอนนี้ขาดทั้งความเฉียบคมในการจบสกอร์ ซ้ำยังคงดูไม่หนักแน่นในแดนมิดฟิลด์ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้พวกเค้าต้องพ่ายแก่อริตลอดกาลอย่าง ลิเวอร์พูลเมื่อวันสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างไรก็ดี ผมไม่ได้บอกว่าพวกเค้าจะคัมแบ็กกลับมาหลอกหลอนชาวบ้านอีกไม่ได้ เพราะกระทาชายนามว่า คริสติอาโน่ โรนัลโด้ เจ้าชายแห่งวงการลูกหนังนั้นกลับคืนสู่สนามหญ้าได้แล้ว...

ผมเชื่อนะครับ ว่าการกลับมาของโด้จิ๋ว จะเป็น ‘จุดเปลี่ยน’ สำคัญของทัพผีแดง ซึ่งตอนนี้กำลังพบกับสถานการณ์ที่ยากลำบากอยู่ เพราะมีนักเตะ เพียงไม่กี่คนในโลกเท่านั้นครับ ที่จะครบเครื่อง ต้มยำ และเปลี่ยนโฉมหน้าของเกม ได้ด้วยคน คน เดียว (ไม่นับ เมสซี่ โรบินโญ่ หรืออาเกโร่ ที่เทพพอกันนะจ๊ะ)

Forgiveness comes quickly, it seems, when your team looks lost without you คือ คำนิยามที่ เอียน เลดี้แมน คอลัมนิสต์ ของ น.ส.พ. Daily Mail จำกัดนิยามการกลับมาของปีกเลือดฝอยทองได้ดี + โดนใจผมเป็นที่สุด

ครับ ถึง ปีกสับสยองรายนี้ จะ ทำตัวหน้าไหว้ หลังหลอก ในช่วงยูโรที่ผ่านมา หลังอยากย้ายทีมจนตัวสั่น ถึงขั้นคร่ำครวญปนกระจองอแง อันเป็น เทรนด์ครบสูตรของนักฟุตบอลสมัยนี้ แต่แฟนบอลแมนฯยูไนเต็ด กลับไม่มีเสียงโห่ หรือ บ่นให้เห็นกันสักแอะ เนื่องจาก สถานการณ์ ของทีมในเวลานี้ เข้าตำรา ‘ขาดเธอ ฉันขาดใจ’

ก็ต้องมาดูกันต่อไปครับว่า โด้จิ๋ว จะเล่นได้สมกับที่แฟนๆ ยกโทษให้หรือไม่ และเจ้าตัวจะพาทีมพลิกวิกฤติของทีมที่ล่าสุดทำได้เพียงชนะ 1 จาก 6 นัดหลังสุด ได้หรือเปล่า ?

จ็อบแรกของ ปีกทีมชาติโปรตุเกส ถือว่าหนักหนาสาหัส ไม่ใช่เล่นครับ เพราะทีมต้องออกไปเยือน ‘สิงห์ไฮโซ’ เชลซีจ่าฝูงบนหัวตาราง ซึ่งขณะนี้มีคะแนนนำ แมนฯยูไนเต็ด อยู่ 6 คะแนน และที่สำคัญมีหลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ กุนซือสมองเพชร ซึ่งน่าจะรู้วิธีในการรับมือ อดีตลูกศิษย์ในทีมชาติเป็นอย่างดี ก็น่าสนใจอีกเช่นกันว่า โด้จิ๋วจะแผลงฤทธิ์ออกหรือไม่ในเกมวันอาทิตย์นี้

ถ้าฟอร์มของยูไนเต็ดยังเล่นได้เท่าที่เห็น + โด้ ยังวาดลวดลายไม่ออก และเชลซี ยังคงเล่นดุดัน มันส์พ่ะย่ะค่ะ แบบนี้

หวยที่ออก คาดว่าคงเดาได้ไม่ยากใช่มั้ยครับ ว่าทีมใดจะเป็นผู้ชนะในเกมวันอาทิตย์นี้ ?

Thursday 18 September 2008

XL และ AIG สองกรณีศึกษาชั้นดี ที่สโมสรฟุตบอลไม่ควรมองข้าม


พาดหัวข่าวที่ประเทศอังกฤษในเวลานี้ หนีไม่พ้นเรื่องเงินๆ เลยสักฉบับครับ หลังจากล่าสุด เลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิ้ง บริษัทปล่อยสินเชื่อยักษ์ใหญ่ของอเมริกา ถึงคราวล้มละลายและบริษัทลูกในอังกฤษ ซึ่งมีสาขาอยู่ Canary Wharf (ย่านออฟฟิศและสำนักงานในลอนดอน หากเทียบกับไทยก็ประมาณ สีลม เพลินจิต) ก็พลอยต้องปิดกิจการไปด้วย

ภาพการเก็บข้าวของ สัมภาระ เดินหน้าสลดออกจากออฟฟิศที่หรูหรา และสูงตระหง่านตา...บ้างก็ร้องห่ม ร้องไห้ ยืนกอดกันกลมของพนักงาน เลห์แมน บราเธอร์ส สะเทือนใจผมเป็นอย่างยิ่ง และที่น่าห่วงกว่านั้นก็คือ เศรษกิจโลกในเวลานี้นั้นเริ่มเข้าขั้น "โคม่า" แทบจะเต็มตัวแล้ว
ส่วนสาเหตุหลักอย่างที่ทุกคนน่าจะพอผ่านหูผ่านตา กันมาบ้าง หลักๆก็คือปัญหาที่มาจาก ผู้นำทางเศรษกิจโลกในเวลานี้อย่าง สหรัฐ อเมริกา ตอนนี้ ตลาดเงินของพวกเค้ากำลังเผชิญกับภาวะล่มสลายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

"Credit Crunch" หรือ วิกฤติสินเชื่อในสหรัฐครั้งนี้ ทำให้ สถาบันการเงิน การธนาคาร น้อยใหญ่ ได้รับผลกระทบ และส่งผลเต็มๆกับภาพรวมเศรษกิจโลกไม่มากก็น้อย ตัวอย่างใกล้ตัว ที่คอบอลบ้านเราเห็นชัดเจนที่สุดเพราะเริ่มส่งผลให้เห็นกันเป็น "รูปธรรม" แล้วใน วงการฟุตบอลอังกฤษก็คือ การถอนตัวออกจากการเป็นสปอนเซอร์คาดหน้าอกเสื้อ "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ของ XL Holiday บริษัทท่องเที่ยวที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆในอังกฤษ ทั้งที่ เพิ่งเซ็นสัญญา 3 ปี มูลค่า 7.5 ล้านปอนด์ กันไป เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วนี่เอง

นอกจากนี้ AIG บริษัทประกันภัยยักษ์ใหญ่ของอเมริกา และเป็นบริษัทแม่ของ AIA บ้านเรา ก็กำลังจะกลายเป็นอดีต สปอนเซอร์หลัก ของ แมนฯยูไนเต็ด เพราะกำลังจะเป็นรายล่าสุดที่โดนประกาศล้มละลาย เช่นกัน

ผมไม่ทราบนะครับว่า ผู้ที่ซื้อประกัน จาก AIA บ้านเราจะได้ถอนตัวทันมั้ย ในเวลานี้ เพราะหากบริษัทแม่อย่าง AIG เจ๊ง และต้องการสภาพคล่องขึ้นมาจริงๆ นั้นก็จะหมายความว่า พวกเค้าจะต้องถอนทุนที่ลงไว้กับ เอไอเอ บ้านเราอย่างไม่ต้องสืบ และ ผู้มีเบี้ยเงินประกันจะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเลยรึเปล่า ผมคงไม่เชี่ยวชาญมากพอ และไม่อยู่ในสถานะที่จะตอบแทนเจ้าของบริษัทได้

แต่สิ่งนึงที่น่าวิตกกังวลและห่วงใยแทนก็คือ ผลกระทบที่มีมาแน่ๆ ต่อเศรษฐกิจประเทศไทยของเรา ที่มีเคราะห์ซ้ำ กรรมซัด การเมืองก็ยังไม่นิ่ง ยังอาจต้องมาเจอวิกฤติด้านการเงินเข้าให้อีก เฮ้อ T.T

ส่วนผลกระทบที่มีต่อ เวสต์แฮม และ แมนฯยูฯ บอกตรงๆครับว่า ผมไม่ค่อยกังวล เท่าไร เพราะเชื่อได้ว่า ไม่ช้าก็เร็ว พวกเค้าน่าจะได้ สปอนเซอร์รายใหม่มาคาดหน้าอก แน่ๆ เนื่องจากเป็นทีมในระดับท็อปไฟลต์ ที่มีทั้งชื่อเสียง และ แรงดึงดูด ซึ่งคงมากพอที่จะทำให้นักลงทุน ที่อยากโปรโมตแบรนด์ของพวกเค้าใช้เสื้อฟุตบอลเป็น "สื่อกลาง" ในการโฆษณา สินค้า บริการ ฯลฯ

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผมเป็นกังวล และ รู้สึกได้ ว่าวันนึงมีโอกาสที่จะเกิดก็คือ ปรากฏการณ์ ล่มสลาย ของ อุตสาหกรรมฟุตบอล ที่ทุกวันนี้ บอกตามตรงครับว่า แม้ ดีมานด์ หรือ ความต้องการจากแฟนบอล ยังจะอยู่ในระดับสูงปรี๊ด เสียดฟ้า

แต่วันนึง หากเศรษฐกิจโลก ยังคงเดินหน้าสู่ภาวะ Recession หรือ ช่วงซบเซา ตามทฤษฎีง่ายๆ ของหลักเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น เมื่อรายรับของผู้บริโภคลดลง หรือต้องใช้จ่ายกับเรื่องจำเป็นมากขึ้น เมื่อนั้น ตั๋วบอล ของที่ระลึก และ ลิขสิทธิ์ การถ่ายทอดสด หากว่ายังคงราคาที่ค่อนข้างสูงอยู่ และ สโมสร หรือ องค์กรที่รับผิดชอบ ไม่รีบวางแผน หรือ หากลยุทธ์มารองรับวิกฤติที่อาจจะเกิดขึ้น

ภาพอัฒจันทร์ที่จะมีที่นั่งโล่งเพิ่มขึ้นในแต่ละเกม ของที่ระลึก เหลือ อื้อซ่า และ เคเบิลทีวี ที่ยอดขายอาจไม่ตก แต่ก็ไม่น่าจะเพิ่ม ก็มีสิทธิ์ที่จะเห็นกันในอนาคต

นั้นคือสมมุติฐานของผม ที่ โอกาสจะเกิด หรือ ไม่เกิด ถึงตรงนี้ คงไม่มีใครรู้...แต่ที่เขียนมาเกิดจากการดูเหตุการณ์ และ สภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นกับแวดวง ธุรกิจอื่นๆ ที่ครั้งนึงเคยรุ่งเรือง และ พีกสุดๆ

ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนแล้วแต่ เป็นวัฏจักร...มีวังวนของมัน เหมือนดั่งชีวิตของคนเรา มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย วัฏจักรของทุกธุรกิจ รวมไปถึงธุรกิจฟุตบอลก็เช่นกันที่ มีจุดเริ่ม จุคพีก และ จุดจบแต่เราจะทำอย่างไร ให้ จุดจบ เกิดขึ้นช้าที่สุด ?

ถึงตรงนี้ผมระลึกถึงคำที่ในหลวงท่านเคยตรัสเอาไว้ ขึ้นมาจับใจครับว่า "จงอยู่อย่างพอเพียง"

ฉันใดก็ฉันนั้น สโมสรฟุตบอล ตามแนวทาง และ อุดมการณ์ของผม พวกเค้าควรจะเลิกใช้จ่าย ค่าตัว + ค่าเหนื่อย นักเตะ แบบบ้าระห่ำ ได้แล้ว หากไม่อยากล้มกลิ้งไม่เป็นท่า เหมือน XL และ AIG

Wednesday 17 September 2008

ไก่หลังยุค คีน-เบิร์บ...ต้องเชียร์อย่างใจเย็น และให้เวลารามอส


แม้จะกลับมาถึงอังกฤษได้ร่วมๆอาทิตย์แล้ว แต่ผมเองก็ยังรู้สึกว่า ‘ชีวิต’ ยังไม่เข้าที่เข้าทางสักเท่าไร...
ช่วง 2-3 วันนี้หน้าที่หลักก่อนออกจะ ไปทำธุระนอกบ้าน ก็คือ ไล่จี้ตามจิกเอา Press Card กับทาง

Football Data Co (ตัวแทนของพรีเมียร์ลีกที่ทำหน้าที่ออก ไลเซนส์ & บัตรนักข่าวให้สื่อมวลชน) กันแบบวันต่อ วันเพื่อที่จะได้นำเรื่องและ ภาพมาเล่าเรื่องราว บรรยากาศสดๆ ให้คุณผู้อ่านได้เห็นแง่มุม ที่ไม่อาจหาได้จากการชมทางโทรทัศน์ โดยซีซั่นนี้ผมสัญญานะครับ ว่าจะพยายาม ถ่ายทอดเรื่องราว ทั้งในและนอกสนาม ยามที่ได้ออกไปชมเกมให้เข้าถึง บรรยากาศดูบอล ที่อังกฤษให้ได้มากที่สุด ; )

บรรยากาศหนาวเหน็บ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (ประมาณ 15 ตอนกลางวัน และลดต่ำลงเหลือ 10 นิดๆ ช่วงดึก) ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุนึงที่ทำให้ผมตั้งตัวไม่ติดและ ที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องของเวลาที่ต้องเรียนและหาจ็อบเสริมที่ร้านอาหารไทยไปด้วย ทำให้การ คัมแบ็กกลับอังกฤษมารอบนี้ของผม แทบไม่มีเวลาหายใจหายคอ แต่โดยรวมก็ถือว่าคุ้มครับกับช่วงนึงของชีวิตที่ได้มาเสริมภูมิ ต้านทานให้ตัวเองแกร่งขึ้นทั้งกายและ ใจที่เมืองผู้ดีแบบนี้

วันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่นั่งรถไฟใต้ดิน เส้นเดิม เวลาเดิม เพื่อไปเข้าคลาสเรียนที่มหาลัย เห็นพาดหัวข่าวของ Metro หนังสือพิมพ์แจกฟรีของที่นี่ถึงข่าวการเสียชีวิตของ ดาวรุ่งอนาคตไกลของทีม บาร์เนท เอฟซี ที่ชื่อ โอลิเวอร์ คิง ออนซิล่า (Oliver King-Onzila ) วัย19 ปี โดนเสียบด้วยมีดโดยวัยรุ่นผิวสีสองคนที่ย่าน ครอยดอน (Croydon)

เห็นข่าวนี้รับขวัญแต่เช้า บอกตรงๆครับว่าในใจรู้สึกหดหู่ ปน สลด แทนชาวอังกฤษ ที่เสียเยาวชนของชาติไปอีกหนึ่งราย เพราะนายโอลิเวอร์นอกจากจะมีแววเอาดีทางฟุตบอลได้แล้ว ก็ยังเป็นกัปตันทีมตัวแทนทีมฟุตบอลระดับวิทยาลัยของอังกฤษลงแข่งกับอิตาลีเมื่อไม่นานมานี้ โดยนักเตะเจ้าของฉายา ‘Gentle Giant’ หรือ ‘ไอ้ยักษ์ผู้อ่อนโยน’ ถือเป็นวัยรุ่นคนที่ 26 ในรอบปีนี้แล้ว ที่โดนถูกฆาตกรรมในเมืองหลวงที่ศิวิไลซ์ อย่างลอนดอน...

นักท่องเที่ยวทั่วโลก รวมไปถึงคนไทยหากไม่ได้เคยมาประเทศอังกฤษคงจะมโนภาพ ประเทศนี้ไว้อย่างสวยหรูนะครับ ว่าคงเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องที่สวยงาม ผู้คนมีมารยาทดีตามแบบฉบับอิงลิชชน และมีฟุตบอลที่สนุก + น่าตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุด
แต่ทุกแห่งหน ไม่ว่าที่ใดในโลกก็จะมีทั้งด้านขาวและดำ ลอนดอนเองก็ไม่ถือเป็นข้อยกเว้นสำหรับเรื่องนี้เช่นกัน สำหรับผมที่อยู่ที่นี่มาสองปีก็อยากบอกให้รู้ เป็นข้อมูลเล่าสู่กันฟังครับว่า บางย่านในลอนดอนนั้น น่ากลัวและอันตรายมากทีเดียว(โดยเฉพาะเวลากลางคืน ) อย่างเช่นย่าน Hackney, Elephant and Castle หรือ Lewisham ซึ่งเป็นแอเรียที่ คนไม่ค่อยมีสตางค์อาศัยอยู่เยอะและพี่มืดในละแวกที่กล่าวมานั้นก็ถือว่าเยอะพอดู

ฉะนั้นการที่ เซอร์เก เรบรอฟ อดีตหัวหอกสเปอร์สและทีมชาติยูเครน ออกมาเตือน โรมัน พาฟลูเชนโก้ หัวหอกป้ายแดงของทีมตราไก่ ถึงอันตรายในกรุงลอนดอน จึงไม่ใช่แค่ประเด็นอยากหาเรื่องแขวะทีมเก่า อย่างที่แฟนฟุตบอลพรีเมียร์หลายคนคิด (เรบรอฟล้มเหลวไม่เป็นท่ากับบอลอังกฤษ) แต่หอกร่างเตี้ย นั้นหวังดีกับ รุ่นน้องเลือดหมีขาวคนนี้จริงๆครับ เชื่อผมเถอะ

พาวนเวียนเรื่องราวนอกสนามบอลตั้งนาน จริงๆแล้วไม่มีอะไรหรอกครับ แค่อยากจะถ่ายทอดเรื่องราว ชีวิตความเป็นอยู่ของที่นี่ให้ได้อ่าน ได้ติดตามกัน เพราะเชื่อว่ามีหลายคนอยากจะรู้ แง่มุมต่างๆ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ของประเทศที่ได้ชื่อว่าน่าติดตามและค้นหามากที่สุดประเทศนึง (ผมเองก็เคยเป็นคนที่อยากรู้ และ ก็ยังจะค้นหามันอยู่ ไปพร้อมๆกับท่านผู้อ่านละกันนะ)

สำหรับ ค่ำคืนวันจันทร์ที่ผ่านมาผมก็ไปประจำการเฝ้าชมเกม สเปอร์ส-วิลล่า ที่ผับร้านประจำแถวบ้านเช่นเคย ในช่วงที่กำลังรอ Press card โดยเกมนี้ สเปอร์สของฆวนเด้ รามอส ก็ยังคงเดินหน้าสร้างความผิดหวังให้กับแฟนบอลสเปอร์สเหมือนเช่นเคย !?

ถูกต้องครับ ผมไม่ได้พิมพ์ผิดหรอก ทีมไก่เดือยทองถึงเวลานี้ ออกสตาร์ตได้ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1974 หรือ ในรอบ 34 ปี !

โอ้วว โน้ว...ผมขออนุญาตกระแดะอุทานเป็นภาษาอังกฤษเลยนะครับ เพราะว่าปวดใจมากๆกับผลงานของทีม ตราไก่ในเวลานี้ มีอย่างที่ไหน ใช้เงินไป 77 ล้านปอนด์ ได้นักเตะอย่าง เบนท์ลีย์ โมดริช โดส ซานโตส ชอร์ลูก้า หรือ พาฟลูเชนโก้ ที่บอบบางนุ่มนิ่ม เป็นปุยนุ่น ชนเป็นล้ม (ยกเว้น ชอร์ลูก้า ชนไม่ล้ม แต่สปีดพี่แกอืดเหลือเกิน ถ้าเป็นรถยนต์ เต่าก็อาจคลานตามมาจิกยางได้ ฮ่า)

ยิ่งในรายของโมดริช เพลย์เมกเกอร์ดาวเด่นจากยูโรฯ ที่เห็นมาสี่นัดแล้ว ตอนนี้ชักจะกลัวคำของเวนเกอร์ที่ดูแคลนว่าหมอนี้ Too Fragile หรือ เปราะบางเกินไปสำหรับ Physical Game ที่อังกฤษ ว่ามันจะเป็นจริงขึ้นมา เพราะเล็กอย่างเดียวไม่พอ ดัน ดูเหมือนจะกระดูกเปราะด้วย เกมนี้เล่นไปได้ไม่เท่าไร ก็กะโผลกกะเผลก โดนเปลี่ยนออกซะอย่างนั้น กลัวเหลือเกินครับว่า วิญญาณ ‘ซิกโน๊ต’ ของเจ้าดาร์เรน แอนเดอร์ตัน ตำนานปีกกระดูกยุง จะกลับมาเข้าสิงเล่นงาน โมดริช จนเสียคนในถิ่นเดอะ เลน

นอกจากนี้ ผลงานของตัวใหม่แกะกล่องอย่าง เวดราน ชอร์ลูก้า และ โรมัน พาฟลูเชนโก้ ที่เปรียบเสมือนความหวังใหม่ของทีมก็ถือว่า ‘สอบตก’ ด้วยกันทั้งคู่ โดยเฉพาะในรายของ ชอร์ลูก้า ที่หลุดตำแหน่งตลอด และโดน แอชลีย์ ยัง ใช้ความเร็วป่วนจนเสียสุนัขไปหลายจังหวะในเกมนี้

ขณะที่ พาฟลูเชนโก้ นั้นดูดีกว่าหน่อยนึง ตรงที่อย่างน้อยๆ ก็พอจะเอาไว้เบียด ไว้ชน กับกองหลังได้บ้าง (แหละ) แม้ผมจะเคยเขียนไปในช่วงยูโรฯครั้งนึงแล้วว่าพ่อหัวหอกหน้าละอ่อนรายนี้ ใช้โอกาสในการปิดสกอร์ค่อนข้างจะเปลือง แต่เอาน่า..ดีกว่าสากกระเบือฝังเพชรอย่าง ดาร์เรน เบนท์แล้วกันที่ ทั้งเกม ไม่ทำคุณประโยชน์อะไรเลยนอกจาก วิ่งมั่วๆดูไร้ทิศทาง แต่ดันดวงดี เจนาสยิงมาแฉลบเข้า เป็นประตูที่สองของเจ้าตัวในฤดูกาลนี้ แบบงงทั้งผู้ชม และคนยิง ^^

เห็นแบบนี้แล้ว น่าเป็นห่วงฆวนเด้ รามอสครับ เพราะว่าอย่างที่เคยทิ้งประเด็นในแง่ของแท็กติกส์ไว้ว่า แกจะเดินหน้าใช้ Attacking Philosophy หรือ ปรัชญาเกมรุกตามสไตล์ถนัดในสมัยที่คุมเซบีญ่า หรือ จะโดนอิทธิพล แนวทางและแผนการเล่นของที่นี่ครอบงำ...

ถึงตอนนี้ หากให้มองลึกลงไปถึงสไตล์ ที่สเปอร์สเล่นอยู่ ผมว่ารามอสแกกำลัง สับสนในตัวเองและยังจับจุด + ดึงความสามารถของนักเตะหน้าใหม่มาได้ยังไม่หมด ดังนั้นหากหวังจะเห็นทีมน้องไก่ เล่นได้มันส์สะใจแฟนบอลตามสไตล์รามอส แฟนบอลอาจต้องรออีกสักพักใหญ่ๆ

อย่างไรก็ตามเรื่อง‘ผลการแข่งขัน’ และ‘อันดับในตาราง’ต่างหากที่แฟนๆใส่ใจและกังวลมากที่สุด หากรามอสยังขุนไก่กระทงชุดนี้ไม่ขึ้น 3-4 นัดนับจากนี้ เชื่อได้ครับว่า เราคงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในถิ่น ไวท์ ฮาร์ท เลน เร็วกว่าที่คิดแหงๆ

Monday 15 September 2008

หงส์ชนะก็จริง แต่เส้นทางยังอีกไกล


คงต้องบอกว่าแอบภูมิใจและเสียเซลฟ์กับตัวเองในเวลาเดียวกันครับ กับการที่ได้มีโอกาสเขียนฟันธงในคอลัมน์ ‘ไม่เชื่ออย่าลบลู่’ คอลัมน์ใหม่ทุกวันเสาร์ แล้ว ทายผลการแข่งขันเฉพาะวันเสาร์ถูกไป 5 จาก 8 คู่ ขณะเดียวกันก็ดันผิดคู่ที่ค่อนข้างมั่นใจอย่าง นิวคาสเซิล-ฮัลล์ ซิตี้ ไป

หลังจากตอนแรกคิดว่าการลงเล่นในบ้านตัวเองของพลพรรค นกสาลิกาพบทีมที่เพิ่งสะบักสะบอมช้ำในมากจากเกมก่อนอย่างฮัลล์ ที่กล้า ๆ แพ้คาบ้านต่อวีแกนไป 0-5 จะล็อกถล่มได้ขนาดนี้

จริงอยู่ครับ ที่ นิวคาสเซิลลงเล่นเกมนี้แบบไร้หัวเรือใหญ่ แต่อย่างน้อย คริส ฮิวจ์สตัน ที่ทำหน้าที่รักษาการแทน ก็ไม่น่าจะ ‘บ้อท่า’ ให้แก่ฮัลล์ ซิตี้ เนื่องจากทีมมีตัวคุณภาพมากมายอย่าง ไมเคิล โอเว่น ชาร์ลส์ เอ็นซ็อกเบีย หรือ ฟาบริซิโอ โคล็อคซินี่ น่าจะเอา ทีม (ลูก) เสือ ของฟิล บราวน์ ที่มีทรัพยากรให้เลือกใช้สอยน้อยเหลือเกิน ได้ไม่ยาก หรือ อย่างน้อยที่สุดผลเสมอก็นับว่าอุบาทว์แล้วสำหรับเจ้าถิ่น

แต่...อย่างที่รู้กันว่าผลการแข่งขันไม่เคยโกหกใคร และความโกลาหลภายในทีมก็มีมากเหลือเกิน มากจนผมรู้สึกเลยว่า นักเตะทั้ง 11 คน ของนิวคาสเซิลในเกมนี้ ลงสนามแค่ตัวกะตีน หัวจิตหัวใจของนักสู้มันไม่มีให้เห็นกันเลย ให้ตายเถอะจอร์จ ! ส่วนนึงเราอาจบอกได้ว่าบรรยากาศมาคุในสนามก็น่าจะเป็นตัวแปรที่สำคัญไม่น้อยเลย กับผลงานสุดห่วยของทีมในนัดนี้ เพราะทั้งช่วงก่อน ระหว่างและหลังเกม พลังประชาชนของชาวจอร์ดี้ นั้นรุนแรงเกินกว่าที่หลายฝ่าย รวมถึง ไมค์ แอชลีย์ และลูกสมุน คาดการณ์เอาไว้เยอะทีเดียว

ณ นาทีนี้ ผมยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของทีมจากถิ่นไทน์ไซด์ แม้แต่น้อยครับ โดย ‘ปลายทาง’ ที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นทางออกได้ก็คือ ต้องโน้มน้าวคีแกนให้คัมแบ็กกลับมาคุมทีมให้ได้ (ซึ่งเป็นเคสที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้อีกแล้ว หากไม่ฟ้าถล่ม ดินทลายเกาะอังกฤษ) มิเช่นนั้น หาไม่แล้วก็คงต้องเป็น ‘เฮียตือ’ แอชลีย์ นี่แหละครับ ที่อาจทนเสียงขับไล่จากประชาชน เอ้ย แฟนบอลไม่ไหว เหมือนๆ กับที่อดีตท่านนายกฯ ประเทศไหนก็ไม่รู้ที่ ทนได้ทนดี จนผมรู้สึกสมเพชเวทนา ว่าจะดื้อดึง ยึดติดอะไรกันนักหนา กับ ยศฐา บรรดาศักดิ์

กระโดดจากเรื่องการเมืองในถิ่นเซนต์ เจมส์ ปาร์ค มาพูดถึงควันหลงศึก Red War ที่ผมยอมรับโดยดุษฎีว่าประเมิน หงส์แดงต่ำไปเยอะทีเดียว เพราะไม่คิดจริงๆ ว่า ทัพนักเตะเรด แมชีน จะสวมหัวใจสิงห์ วิ่งสู้ฟัดแบบไม่มีหมด จนทัพผีแดงเล่นกันติดขัด และเสียรูปกระบวนไปไม่น้อย โดยเฉพาะในแดนกลางที่เกมนี้ ลิเวอร์พูล ทำได้ดีกว่ามาก และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้พวกเค้ามีชัยเหนือ แมนฯยูไนเต็ด ในบ้านเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา

ประเดิมการเปิดฤดูกาลได้ด้วยการเชือด อริตัวฉกาจ แบบนี้แล้ว ก็หวังไว้เหลือเกินครับว่า ราฟาเอล เบนิเตซ และนักเตะหงส์แดง จะมีฤดูกาลที่ดี และสม่ำเสมอกว่าปีก่อนๆ ไม่เช่นนั้นแล้วการเก็บชัยชนะได้เหนือทีมปีศาจแดงได้เพียงเกมเดียว แล้ว ทำแต้มตกหล่นข้างทางกับทีมที่อ่อนชั้นกว่า เกมนี้ก็จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย

ขณะที่ทีมผีแดงของท่านเซอร์ อเล็กซ์ ก็คงไม่มีอะไรต้องบ่นหลังเกมครับ เพราะเล่นได้ดีกว่าแค่ช่วง 20 นาทีแรกเท่านั้น โดยจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ ผีแดงพังในเกมนี้ก็คือ การบาดเจ็บของไมเคิล คาร์ริค และตัวที่บรมกุนซือเลือดสกอตเปลี่ยนลงไปแทนในครึ่งหลังดันเป็น ไรอัน กิ๊กส์ ที่บทบาทและความถนัด อยู่ในข่ายสร้างสรรค์เกมรุก

ทำให้นักวิเคราะห์ทางช่อง Sky Sport ในเกมนี้อย่างเจมี่ เรดแนปป์ อดีตกองกลางทีมชาติอังกฤษและลิเวอร์พูลเก็บประเด็นนี้ เรื่อง ความสมดุลในแดนกลางมาพูด ประมาณว่าหากเปลี่ยน โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ กองกลางพลังไดนาโม มาตั้งแต่ต้นครึ่งหลัง รูปเกม ยูไนเต็ด อาจจะดีกว่าที่เห็น เพราะเมื่อ กิ๊กส์ สโคลส์ และ แอนเดอร์สัน ที่ไม่มีความดุดัน เจอพวกตัวเขี้ยวๆ อย่าง มาสเคราโน่ อลอนโซ่ หรือ ร็อบบี้ คีน ที่เกมนี้วิ่งพล่านลงมาช่วยไล่ด้วย ทำให้ สามหน่อในแดนกลางของทีมผีแดง เล่นกันสะเปะสะปะพอสมควร

แมนฯยูไนเต็ดยังโชคดีอยู่อย่างครับ ที่คริสติอาโน่ โรนัลโด้กำลังจะกลับมาลงสนามได้อีกครั้งเร็วๆนี้ เพราะนั่นหมายถึงแนวรุกสุดสยอง เบอร์บา-เตเบซ ยืนหน้าเป้า มีตัวสนับสนุนอย่าง รูนี่ย์ และ โรนัลโด้ จะกลับมาหลอกหลอนชาวบ้านชาวช่องอีกครั้ง โดยลึกๆ ผมก็ยังเชื่อว่า แนวรุกชุดนี้ของยูไนเต็ด ยังน่ากลัวที่สุดในพรีเมียร์ชิพอยู่ดี แม้ว่าอาร์เซนอลและเชลซี จะแสดงให้เห็นแล้วเช่นกันว่าพวกเค้าก็มีดีไม่ใช่เล่น เพราะเพิ่งไล่ถล่มคู่แข่งไป 4-0 และ 3-1 ตามลำดับ

อ้าว แล้วลิเวอร์พูลล่ะ ?? หลายคนอาจกำลังตั้งคำถามกับประเด็นแนวรุกสุด สยองยอดทีมในอังกฤษของผม อุตส่าห์ชนะแมนฯยูฯ ได้แท้ๆ แต่ผมกลับไม่ได้พูดถึงแนวรุกของพวกเค้าเสียอย่างนั้น

อืม อย่าหาว่าผมจงเกลียดจงชัง หรือมีอคติ กับทีมหงส์แดงเลยนะครับ แต่การประสานงานในแนวรุกรวมไปถึงการเข้าทำของพวกเค้า ยังดูไม่ค่อยน่ากลัว แม้ว่าจะชนะในเกมนี้ก็จริง

ร็อบบี้ คีนกับค่าตัว 20 ล้านปอนด์ ที่แบกไว้บนบ่า วิ่งลืมตาย หาตำแหน่ง ขยันทำทางให้เพื่อนอย่างบ้าคลั่ง แต่หน้าที่หลักกองหน้าต้องยิงประตูไม่ใช่หรือ ??

ครับ...ผมกำลังจะบอกว่าตราบใดที่คีนน้อย ยังปลดแอกตัวเองให้เป็นที่ยอมรับ และฮอตเหมือนสมัยเล่นให้สเปอร์ส ไม่ได้ เราก็ยังไม่อาจพูดได้เต็มปากว่า ลิเวอร์พูลมีแนวรุกที่น่าสะพรึงกลัว หากเทียบกับทีมอย่าง แมนฯยูฯ ที่เบอร์บาตอฟลงนัดแรกก็โชว์คลาสให้เห็นกันไปบ้างแล้ว อาร์เซนอลและวัลคอตต์ก็ดวงกำลังขึ้นและเชลซี ที่แม้กองหน้าจะยิงไม่เปรี้ยงในตอนนี้ แต่กองกลางอย่าง เดโก้ แลมพาร์ด หรือ บัลลัค ก็สามารถขึ้นมายิงได้ตลอด ผิดกับ ลิเวอร์พูล ที่ มักจะได้ประตูจากความสามารถเฉพาะตัวของตอร์เรส และ เจอร์ราร์ด หรือเกมนี้ หากไม่ได้โคตรซูเปอร์ซับอย่าง บาเบิล ก็อาจจะได้แค่เสมอ

ดังนั้น 3 แต้ม ที่ได้มาในเกมนี้ของทีมหงส์แดงอาจยังไม่ใช่ผลงานที่ดีที่สุด (ผมเชื่อว่าพวกเค้าสามารถเล่นได้ดีกว่านี้) แต่ก็ประทับใจที่สุดกับภาพรวมของความมันส์ระดับ 4 ดาว ที่เบนิเตซ และเฟอร์กี้มอบให้ผู้ชมในเกมนี้ เพราะไม่จืดชืดอย่างที่หลายคนเก็งไว้ตอนแรก Cheers Rafa & Fergie : )

ป.ล. Cheers = ขอบคุณ (ความหมายอย่างไม่เป็นทางการที่ ลอนดอนเนอร์ที่นี่มักจะใช้จนติดปาก )

Friday 12 September 2008

ได้เวลาสิงโตคำราม


Sweet revenge for England ! พาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับนึงที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ...
สายตาเหลือบไปเห็นข้อความนี้เข้าขณะที่ ผมเดินดุ่ม ๆ กลับบ้านย่าน Earls Court ด้วยความรวดเร็วหลังจากยังไม่ชินกับสภาพอากาศที่นี่ หลังเพิ่งกลับจากไปฮอลิเดย์ที่ประเทศไทยมาได้สองวัน

กลับมาวันแรกก็ไปยืนจิบเบียร์ดูบอลโครเอเชีย-อังกฤษที่ผับแถวบ้านมันซะเลยครับ เพื่อให้ร่างกายมันอบอุ่น + ฉลองวันเกิดย้อนหลังให้ตัวเองซะหน่อย : )

ผับสไตล์อังกฤษแต๊ๆ ที่ผมเลือกเข้าไปชมเกมเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา แน่นไปด้วยแฟนบอลอังกฤษที่เข้าไปตามชมตามเชียร์ทีมชาติของพวกเค้า เนื่องจากเกมคู่นี้ดันไม่มีถ่ายทอดช่องฟรีทีวี !

ตลกร้ายนะครับ เพราะเกมระดับชาติแบบนี้ โดยปกติแล้ว ยังไง ๆ ไม่ BBC ก็ ITV ฟรีทีวี สองช่องหลักจะได้รับสัมปทานตรงนี้ยิงสดให้ได้ชมกันทุกบ้าน...ก็ไม่เข้าใจตุ้มครับว่า เกมที่ผ่านมานั้นมีเหตุผลประการใดจึงทำให้ อิงลิชชนที่ไม่มีเคเบิลทีวีที่บ้านต้องทนหนาวออกมาดูบอลแบบนี้ เหอ ๆ

เกมโครเอเชีย-อังกฤษที่จบลงด้วยสกอร์ไลน์ 1-4 นับเป็นผลการแข่งขันที่สวยสดงดงามครั้งนึงในรอบหลาย ๆ ปีของทีมชาติอังกฤษเลยนะครับ เพราะว่าหากจะนับกันให้ดีก็กินเวลาไป 7 ปีเต็มเข้าให้แล้ว ที่แฟนบอลทีมชาติอังกฤษไม่ได้เฮดังๆกันแบบนี้ ครั้งสุดท้ายที่จำได้คือ การที่พวกเค้าบุกไปเอาชนะเยอรมันถึงสนามโอลิมปิกสเตเดี้ยม ที่กรุงมิวนิค ประเทศเยอรมัน 5-1 ในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกปี 2002

โดยเบื้องหน้า-เบื้องหลังของเกมเยอรมัน-อังกฤษในวันนั้น และกับโครเอเชียเมื่อวันพุธที่ผ่านมามีหลายๆอย่างที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน เรื่องแรกคือทั้งโครแอต และ ทีมอินทรีเหล็กต่างก็เป็นทีมที่อังกฤษอยากจะถอนแค้นมากเหลือเกิน เนื่องจากก่อนหน้านี้ต้องพ่ายแพ้มาอย่างเจ็บปวด ส่วนความเหมือนที่แตกต่างเรื่องที่สองก็คือ ก่อนเกมนี้โครเอเชีย ไม่แพ้ใครในบ้านมานานถึง 14 ปี (36เกม) ขณะที่เยอรมันก่อนเกมในปี 2001 ก็ไม่เคยโดนลูบคมในบ้านเช่นกัน

ประการสุดท้าย..สองเกมนี้เป็นเกมที่สร้างวีรบุรุษของทีมชาติอังกฤษ เนื่องจาก ไมเคิล โอเว่น และ ธีโอ วัลคอตต์ ต่างก็ทำแฮตทริกได้เหมือนๆกัน

จริงอยู่ว่านี่อาจเป็นการแจ้งเกิดแบบเต็มตัวของธีโอ ในนามทีมชาติอังกฤษ แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่า ในขณะเดียวกันนี้ก็อาจเป็นสัญญาณที่ส่งไปถึง โอเว่น อดีตแฮตทริกฮีโร่ในเกมกับเยอรมันเช่นกันว่าเวลาของเค้าในทีมชาติอาจถึงกาลอวสานก่อนเวลาอันควร หลังจากถูกคาเปลโล่หมางเมินใส่ในเกมบอลโลกรอบคัดเลือกที่มีความสำคัญแบบนี้

ครับ แม้ทั้งคู่จะเล่นคนละตำแหน่งในนัดที่ผ่านมา แต่ดูทรงแล้ว ถึงโอเว่นจะถูกเรียกเข้ามาติดทีมชาติในอนาคตก็คงจะไม่ใช่ตัวหลักอยู่ดีในแดนหน้าเนื่องจาก เวย์น รูนีย์ หากไม่เจ็บหรือฟอร์มรูดมหาราช ยังไงๆก็ได้ยืนพื้นเป็นตัวจริงแน่นอน ขณะที่แคนดิเดตในตำแหน่งกองหน้ารายอื่นๆ อย่าง เอมิล เฮสกีย์ ก็พิสูจน์ให้เห็นไปแล้วว่าถึงจะอายุเริ่มเยอะแต่ก็ยังไม่หมดลาย อีกทั้งยังสร้างคุณประโยชน์มากมายให้ทีมในแง่ของแท็กติกส์ และรูปร่างที่ได้เปรียบ

จะมีก็แต่ เจอร์เมน เดโฟ นี่แหละครับ ที่ดูแล้วหากเก่งแค่ในระดับสโมสร และเล่นในระดับนานาชาติได้เท่าที่เห็น ก็มีโอกาสมากเหลือเกินที่จะโดน เบบี้ โกล์ ชิงโควตาบนม้านั่งสำรองไป

นอกจากนี้เอฟเฟกต์จากแฮตทริกของวัลคอตต์ และผลงานของทีมชาติอังกฤษในนัดที่ผ่านมานั่นก็เริ่มแสดงให้เห็นอีกเช่นกันว่า เวลาของเดวิด เบ็คแฮมก็น่าจะปิดฉากแต่เพียงเท่านี้ เนื่องจากสังขารและสภาพความฟิตซึ่งเป็นข้อบกพร่องที่ผมเห็นได้ชัดที่สุดจากดาวเตะพ่อลูกสามรายนี้ แม้ว่าเจ้าตัวจะมีความมุ่งมั่น และ ลูกทีเด็ดจากเซตพีชก็ตามที

แต่หากมองที่อายุ + เวลาค้าแข้งที่เหลือไม่มาก ก็พอจะสรุปได้คร่าวๆครับว่า มันน่าจะถึงเวลาที่หนุ่มเบ็คส์ควรจะเลิกดื้อและเปิดโอกาสให้ดาวเตะรุ่นน้อง ที่มีความสามารถหรือ ศักยภาพเทียบเคียงอย่าง เดวิด เบนท์ลีย์ หรือ ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์ ได้มีโอกาสแสดงฝีมือบ้าง

กลับมาพูดถึงฮีโร่ในเกมนี้อย่าง ธีโอ วัลคอตต์กันบ้าง หลังจากที่ช็อกโลกด้วยการเป็นหนึ่งในทัพสิงโตคำรามมีชื่อไปบอลโลก เมื่อสองปีที่แล้วแบบค้านสายตาใครหลายคน (รวมทั้งผม) เนื่องจากก่อนหน้านั้นไม่เคยเล่นให้ทีมปืนโตชุดใหญ่แม้แต่ครั้งเดียว แต่กลับมีชื่อปาดหน้าตัวที่ทำผลงานในสโมสรดีๆอย่าง เดโฟ "เอเจ" แอนดี้ จอห์นสัน หรือ ดาร์เรน เบนท์

จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็อย่างที่เห็นกันนะครับว่าเรื่องนี้ได้กลายเป็นประเด็นถกเถียง อย่างกว้างขวางและมันได้สร้างแรงกดดันให้เด็กหนุ่มตัวเล็ก ๆ ที่ขี้อายอย่างวัลคอตต์ และกระทบพัฒนาการ การเป็นนักฟุตบอลดาวรุ่งของเค้าไม่น้อย

ยังดีที่ได้ยอดโค้ชฝีมือดีอย่าง อาร์เซน เวนเกอร์ คอยดูแลประคบประหงมราวกับไข่ในหิน ไม่อย่างนั้นเชื่อขนมได้เลยว่า อนาคตของปีกจรวดรายนี้อาจจะจบลงแบบ เจอร์เมน เพนแนนท์ ที่ได้รับการจับตามองตั้งแต่เล็ก หรือ ดาวรุ่งรายอื่น ที่มักทนแรงเสียดทานจากความคาดหวังที่สูงไม่ไหว และมันกลับกลายเป็นภัยร้ายมาดับอนาคตค้าแข้งของพวกเค้าในภายหลัง

วัลคอตต์นั้นมีทุกอย่างนะครับ ที่นักเตะระดับโลกควรจะมี ทั้งความเร็วระดับแปดสิบแรงม้า ความคล่องตัว และสำคัญที่สุดคือ เซนส์บอลที่ติดตัวมาแต่กำเนิด จากนี้ไปจึงน่าสนใจมากว่าเจ้าตัวจะพัฒนาเรื่องของ Confidence (ความมั่นใจ) และ Self-fish instinct (สัญชาตญาณของกองหน้ากึ่งปีก ที่ผมคิดว่านักเตะเวิลด์คลาสควรจะมี ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดน่าจะเป็น คริสติอาโน่ โรนัลโด้ ) ได้มากน้อยขนาดไหนนับจากนี้

สรุปก็คือ ผลงาน + สัญญาณดีๆของทีมชาติอังกฤษ ที่บังเกิดขึ้นในวันพุธที่ผ่านมาจะยกเครดิตให้ใครไปไม่ได้ครับนอกจากฟาบิโอ คาเปลโล่ ในความกล้าที่จะเลือกตัวผู้เล่นและระบบของทีม รวมไปถึงรูปแบบในการเล่นที่แม้จะดูติดๆขัดๆไปบ้างในช่วงครึ่งเวลาแรก รวมถึงนัดที่แล้วกับ อันดอร์รา

แต่ในที่สุดจอมแท็กติกส์อย่างคาเปลโล่ก็เริ่มจับทิศทางในการขี่หลังสิงโต ตัวนี้ให้โลดแล่นเป็นเจ้าป่าได้แน่นอนในอนาคตอันใกล้นี้ ...ผมเชื่ออย่างนั้น

Thursday 4 September 2008

ปิดตลาดรอบนี้ แฮปปี้กันทุกฝ่าย



หลังจากที่อึมครึม และซุ่มกันอยู่นานสองนาน ในที่สุดตลาด นักเตะที่เพิ่งปิดตัวลงไปหมาดๆ ก็จบลงแบบเซอร์ไพรส์ใคร และใครอีกหลายคนไม่มากก็น้อยครับ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องการโยกย้าย ตัวผู้เล่นระดับบิ๊กเนมเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงข่าวใหญ่ของ การประกาศขายหุ้นของคุณทักษิณ ชินวัตร ประธานสโมสรแมนฯซิตี้ ที่ตัดสินใจขาย ‘ซิตี้’ ให้กลุ่มนายทุนจากอาหรับในนามอาบูดาบี ยูไนเต็ด กรุ๊ป หรือ ADUG เป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนเรือใบ

โดยนิยายเรื่องยาวของการซื้อขาย ‘ซิตี้’ ในครั้งนี้น่าจะได้รับ การจารึกไว้ในพงศาวดารลูกหนัง ถึงความเปลี่ยนแปลงของนายทุน ยุคใหม่ที่พร้อมสละเรือแบบไม่มีรีรอ เนื่องจากสโมสรฟุตบอลก็อาจ เปรียบได้ดังผักปลาในตลาดที่เฮีย ‘ไข่มุกดำ’ ได้ว่าไว้ในฉบับเมื่อวาน ประเด็นที่น่าสนใจตามมาก็คือต่อจากนี้ ความผูกพันระหว่างประธานสโมสร และแฟนบอล ที่นับวันก็ยิ่งเหินห่าง...สโมสรเป็นแค่เครื่องมือทางการตลาดในการสร้างชื่อให้ ‘ผู้ซื้อ’ และทำเงินเข้ากระเป๋าตัวเท่านั้นเองหรือ?

มุมนึงก็เข้าใจน่ะครับว่า ‘ซิตี้’ ต้องการผู้มาเปลี่ยนชะตาชีวิตที่เริ่มไม่แน่นอนหลังจากที่ ชินแม้ว โดนคดีความมากมาย + ไม่สามารถเสกทรัพย์มาเสริมความแข็งแกร่งให้ซิตี้ในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี โดยภาพรวมแล้วการซื้อขายในครั้งนี้ก็ถือเป็น Win-Win ดีล ที่ทุกฝ่ายได้ผลประโยชน์ไป คุณทักษิณได้กำไรกว่าสองเท่าจากการขายหุ้น (ซื้อมา 81.6 ล้านปอนด์ ขายไป200 กว่าล้าน) + ได้ชื่อเสียงไปพอสมควรในช่วงปีเศษๆ ที่ดำรงตำแหน่งนายใหญ่แห่งถิ่น ซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์

แมนฯซิตี้ก็ได้เม็ดเงินอัดฉีดเนื้อ ๆ เน้น ๆ จากกลุ่มนายทุนที่รวยเป็นอันดับท็อป 20 ของโลก และมีศักยภาพมากพอ ที่จะเปลี่ยนโฉมเรือใบ ให้กลายร่างเป็นบิ๊กทีม ในพรีเมียร์ชิพเสียทีหลังจากลุ่มๆ ดอนๆ มาหลายปีดีดัก ส่วนกลุ่มอาบูดาบี ยูไนเต็ด กรุ๊ปซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยากเทกโอเวอร์ อาร์เซนอล ลิเวอร์พูลและนิวคาสเซิล และนำทีมโดย ดร.สุไลมาน อัล-ฟาฮิม ก็จะได้เติมเต็มความฝันในการสร้างชื่อให้กลุ่ม "อาดัก" เป็นแบรนด์ที่ดังกระฉ่อน ควบคู่ไปกับสโมสรจากย่านอีสต์แลนด์

ครับ โดยทันทีที่พวกเค้าบุกเข้ายึด ซิตี้ ได้ก่อนตลาดนักเตะวายเพียงไม่กี่ชั่วโมง นายอัล-ฟาฮิมคนนี้ก็พยายามจะสร้างความฮือฮาด้วย การดอดไปติดต่อขอซื้อกบฏลูกหนังของถิ่น เดอะ เลน อย่าง ดิมี่ เบอร์บาตอฟ โดยยื่นขอเสนอสุดงามร่วม 34 ล้านปอนด์ ให้สเปอร์สรับไว้พิจารณา
แดเนียล เลวี่ ซึ่งโกรธ และเกลียดทีมอสูรแดงของเซอร์ อเล็กซ์ยิ่งกว่าอุจจาระก็ตอบรับทันที ติดก็ตรงที่ตัว และวิญญาณของหอก (หัก) บัลแกเรียน นั้นได้มอบให้แก่ทัพอสูรเป็นที่เรียบร้อย มิเช่นนั้นเราอาจได้เห็นดีลที่ ‘หักมุม’ มากที่สุดในประวัติศาสตร์ก็เป็นได้
Ambition หรือความทะเยอทะยานของอัล-ฟาฮิม วัย 31 ปีคนนี้นั้น เท่าที่ได้ศึกษา + อ่านคำให้สัมภาษณ์ของหมอนี่แล้ว แกถือเป็นเป็นนักธุรกิจที่เก่ง และมันสมองเรื่องการทำธุรกิจของเค้านั้นได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง หาตัวจับได้ยาก คาแรกเตอร์โดยรวมก็มุทะลุดุดัน และคาดหวังสูงพอสมควรกับโปรเจกต์ใหญ่กับแมนฯซิตี้ในครั้งนี้ เพราะหลังจากพลาดเป้าหมายหลักอย่าง เบอร์บาตอฟ แกก็รีบดอดไปติดต่อขอซื้อ ดาวิด บีญ่า, มาริโอ โกเมซ แต่สุดท้ายก็มาประสบความสำเร็จที่ดีลกับ โรบินโญ่ ด้วยค่าตัว 32.5 ล้านปอนด์ ถือเป็นสถิติการย้ายทีมที่สูงสุดเป็นประวัติการของเกาะอังกฤษเลยทีเดียว

นอกจากนี้แกยังวาดฝันไว้อย่างสวยงามโดยประกาศเอาฤกษ์เอาชัยฉลองครบรอบ 128 ปี สโมสรแมนฯซิตี้ในวันเปิดตัวว่าซีซั่นนี้ขอพาเรือใบแล่นฉิว และกร้าวขู่ ‘บิ๊กโฟร์’ ว่าให้ระวังตัวให้ดี พร้อมประกาศจะเอาถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกมาวางในตู้โชว์ของสโมสรให้จงได้ภายในระยะเวลา 3 ปีต่อจากนี้ !!?? (อันนี้ไม่ทราบจริง ๆ ครับว่า เป็นแค่โฆษณาชวนเชื้อ หรือแกจะทำได้จริง อันนี้ ต้องรอดูกันนะ ^^)

แต่ด้วยวัยเพียงแค่นี้ของอัล-ฟาฮิม แกกลับมีสินทรัพย์มากกว่าเสี่ยหมี อับราโมวิชของเชลซีเกือบ 10 เท่า ฉะนั้นโดยส่วนตัว ผมเชื่อครับว่าประธานคนใหม่ของแมนฯซิตี้คนนี้ไม่ธรรมดา และขอให้จับตาให้ดีครับ เพราะว่าเปิดตลาดรอบหน้าแฟนซิตี้มีเฮดัง ๆ แน่นอนกับบิ๊กเนมที่จะมาสร้างสีสันให้พรีเมียร์ชิพช่วงเดือนมกราคมที่จะถึงนี้

กระเถิบมาพูดถึงทีมร่วมเมืองแมนเชสเตอร์ อย่างผีแดง แมนฯยูไนเต็ดกันบ้างดีกว่า หลังจากที่พวกเค้าโชว์ Power ในการดึงนักเตะอย่าง เบอร์บาตอฟมาได้ ทั้ง ๆ ที่สเปอร์สเซย์ เยส ให้แมนฯซิตี้ ไปแล้วนั้น ก็คงต้องบอก + ยอมรับแต่โดยดีครับว่า แข่งอะไรก็แข่งได้ แต่จะให้แข่งบารมี ที่ต้องใช้ ‘เวลา’ บ่ม และสะสมมานานแรมปีนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะสร้างกันง่าย ๆ

โดยทั้งแมนฯซิตี้ ทีมเศรษฐีน้องใหม่ และสิงห์ไฮโซของเสี่ยหมีเองก็ดี คงจะได้ตระหนักแล้วครับว่าการจะเป็นยอดทีม ในใจแฟนบอลทั่วโลกนั้นไม่ใช่จะสร้างขึ้นมาเพียงห้าวัน เจ็ดวัน แต่ทุกอย่างนั้นล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยเวลา และความสำเร็จ + แผนงานในระยะยาวมาการันตีความไว้เนื้อเชื่อใจจากฐานแฟนบอลใหม่ ว่าจะ ‘ปลื้ม’ ตัวตนของทีมนั้น ๆ มากน้อยขนาดไหน

ฉะนั้นอาการปลื้มของเบอร์บาตอฟที่มีต่อทีมผีแดงก็คงทำให้แฟนแมนฯยูไนเต็ด ที่ติดตามลุ้นเดดไลน์นักเตะ รอบที่ผ่านมาลุ้นระทึก แต่สุดท้ายก็สมหวังก็ไปตามๆ กัน โดยสเปอร์สเองก็ถือว่าใจแข็งจนนาทีสุดท้ายจริงๆ เพราะหากไม่ได้ราคา 30 ล้านปอนด์ที่ต้องการเบอร์บาตอฟก็คงไม่ได้ชูเสื้อยูไนเต็ดหราอย่างที่เห็นกัน
โดยงานนี้สเปอร์ส ไม่เสียรู้เซอร์ อเล็กซ์ อย่างที่ผมเคยหวั่นเกรงในตอนแรกว่าทีมรักจะทะลึ่ง ร้อนรนปล่อยเบอร์บาตอฟในราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

เครดิตในครั้งนี้นั้นต้องยกให้ ฆวนเด้ รามอส และทีมงานสเปอร์สครับ เพราะว่านิ่ง และเล่นเกมวัดใจ นี้ได้อย่างชาญฉลาด เพราะหากว่าพวกเค้าชวด ขายเบอร์บาตอฟขึ้นมาจริงๆ และทีมตราไก่เกิดของขึ้นเดิน หน้าดำเนินคดีเอาเรื่องกับแมนฯยูฯ ผลร้ายท้ายสุดจะ ตกอยู่กับทีมปีศาจแดงแบบช่วยไม่ได้ เพราะนอกจาก จะมีสิทธิ์โดนลดแต้ม + แบนจากตลาดนักเตะแล้ว ปัญหาในแนวรุกของปีศาจแดง ในยุคที่ขาดดาวเตะเทพเลือด ฝอยทองอย่างคริสติอาโน่ โรนัลโด้ ก็คงไม่ได้รับการแก้ไข และจะส่งผลกระทบเต็ม ๆ ต่อการลุ้นแชมป์ในบั้นปลาย เนื่องจากปีนี้เชลซีของหลุยส์ ฟิลิปเป้ สโคลารี่ ที่แม้นัดล่าสุดจะทำได้เพียงแค่เสมอสเปอร์ส แต่ดูแล้วเล่นได้เนียนตา กว่าลูกทีมของป๋า แพนด้าเล็กน้อย ในช่วงออกสตาร์ตซีซั่นนี้

ดังนั้นการที่ เซอร์อเล็กซ์ ยอมลดทิฐิของตัวเองลง และยอมจ่ายค่าตัวเบอร์บาตอฟตามที่สเปอร์สเรียกร้องมา + แถมเจ้าหนู เฟรเซอร์ แคมป์เบลล์ ให้สเปอร์สไว้ใช้งานในหนึ่งซีซั่นจึงถือเป็นทางออกที่ เพอร์เฟกต์ สำหรับทุกฝ่ายจริง ๆ ครับ