Thursday 24 January 2008

Welcome home เควิน คีแกน


เสาร์ที่ผ่านมาผมนั่งชมไฮไลต์เกม “เปิดซิง”การกลับมาคุมนิวคาสเซิ่ลคำรบที่สองของ “คิง เคฟ”เควิน
คีแกน ขวัญใจคนเดิมของชาวจอร์ดี้ในนัดเปิดบ้านพบกับโบลตันของแกรี่ เม็กสัน โดยที่ในใจแอบหวังไว้ครับว่างานนี้ แฟนๆเจ้าสาลิกาดงน่าจะได้เฮรับ3 คะแนน ต้อนรับกุนซือใหม่ของพวกเค้า


ผลเสมอกัน 0-0แบบ “ไข่ไม่แตก” นอกจากจะทำให้ผมเซอร์ไพร์สเล็กๆแล้ว ในส่วนของรูปเกมก็ชวนให้แอบง่วงไม่น้อย เพราะนิวคาสเซิ่ลในฐานะ “เจ้าบ้าน” ไม่ได้ใช้ความได้เปรียบตรงนี้พยายามเก็บ 3 แต้มเลย หนำซ้ำบางจังหวะของเกมยังหวุดหวิดเกือบจะโดนโบลตันยิงเอาด้วยซ้ำ


อย่างไรก็ดีครับ เกมนี้ยังไม่สามารถวัดอะไรได้มากเนื่องจากคีแกนนั้นเพิ่งจะเข้ารับตำแหน่งได้ไม่กี่วันก่อนเกม และนิวคาสเซิ่ลเองก็ขาดตัวหลักไปครึ่งค่อนทีม ขณะที่โบลตันนั้นตั้งใจมาเล่นเกมรับ และการได้ 1 คะแนนกลับบ้านไปก็ถือว่าผลงาน “เข้าเป้า” ตามที่เม็กสันหวังไว้


แต่สิ่งที่ผมสนใจมากกว่าในเกมนี้ไม่ใช่เรื่องรูปเกมหรอกนะครับ ผมอยากจะรู้ปฏิกิริยาของแฟนบอลชาวจอร์ดี้ ที่มีต่อ “คิง เคฟ” ซะมากกว่า…และเท่าที่สังเกตดู ก็เป็นไปตามคาดครับ เพราะแม้นิวคาสเซิ่ลจะได้แค่เสมอโบลตัน แต่แฟนๆก็ยังดูแฮปปี้กันอยู่ หากเปรียบกับคู่รักก็ถือว่ายังอยู่ในช่วง “ข้าวใหม่ ปลามัน” ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ละครับ ^^



สื่อหลายๆสำนักที่นี้ ว่ากันว่ากรกลับมาของ คีแกนในรอบนี้ เปรียบเหมือน “รี เทิน ออฟ เดอะ คิง” หรือ การกลับมาของราชา เลยนะครับ เพราะนับตั้งแต่การจากไปของเจ้าตัวเมื่อ 11ปีก่อน นิวคาสเซิ่ลก็ไม่เคยทำผลงานได้เป็นที่น่าพอใจ และได้เฉียดเข้าใกล้การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ชิพอีกเลย



หลายๆคนที่อาจจะเพิ่งติดตามฟุตบอลได้ไม่นาน อาจสังสัยครับว่าทีมอย่างนิวคาสเซิ่ลเคยได้ “เฉียด” ลุ้นแชมป์กับเค้าด้วยหรอ ผมจึงขอเท้าความเล่าอดีตกันสักเล็กน้อยครับ



นิวคาสเซิ่ลในฤดูกาล 1995-1996 นั้นได้รับการยกย่องเรื่องฟุตบอลที่เน้นเกมรุกที่สวยงามและ
เอนเตอร์เทนแฟนบอลให้ตื่นตาตื่นใจกับแนวรุก มหาประลัยในช่วงนั้นอย่าง คีธ จิเลสพี ปีเตอร์ เบียดส์ลี่
เลส เฟอร์ดินานด์ และ ดาวิด ชิโนล่า ที่เล่นกันฟอร์มเทพมาตลอดเกือบทั้งฤดูกาลและนำทีมอันดับสองอย่าง แมนฯยูฯของป๋าแพนด้าอยู่12คะแนน ใครต่อใครในปีนั้น รวมถึงร้านรับพนันต่างๆ ก็ออกราคาให้โอกาสที่นิวคาสเซิ่ลจะเป็นแชมป์นั้น ราคาลดฮวบลงอย่างน่าเกลียด


แต่อยู่ๆก็เหมือนสวรรค์เล่นตลกร้ายกับทีมของคีแกนครับ เพราะว่าเซอร์อเล็กซ์ซึ่งเริ่มเก่งกล้าวิทยายุทธ์และเก๋าพอตัวแล้วกับฟุตบอลอังกฤษในช่วงนั้น ได้ริเริ่มเล่น Mind game หรือเรียกกันง่ายๆก็คือ สงครามประสาทกับนิวคาสเซิ่ลที่ทำท่าว่าจะเข้าวินแน่ ให้ออกอาการเป๋ โดย ไซโค ว่าเด็กผีคลื่นลูกใหม่ในช่วงนั้นอย่าง เดวิด เบ็คแฮม แกรี่&ฟิล เนวิลล์ พอล สโคลส์ ฯลฯ มีดีพอที่จะพาทีม เด็กผีปาดหน้าคว้าแชมป์ทีมของคีแกน


เมื่อโดน “ยั่ว” โดยเซอร์อเล็กซ์ เควิน คีแกนในช่วงนั้นถือว่ายังค่อนข้างใหม่ และเป็นกุนซือหนุ่มไฟแรงคนหนึ่งในลีก แต่ด้วยความ “อ่อนประสบการณ์”กับอาชีพผู้จัดการทีม (เริ่มอาชีพกุนซือกับนิวคาสเซิ่ลในปี 1992) ก็ออกอาการ “น๊อตหลุด” ตบะแตกให้สัมภาษณ์โต้กลับอย่างเผ็ดร้อนคืนผ่านทางสื่อมวลชน


หารู้ไม่ว่า “ความหายนะ” กำลังจะมาเยือน…


เป็นทีมนำมาอยู่ดีๆ แทนที่จะพยายามใช้ทีมชุดเดิมที่เล่นกันมารักษาความได้เปรียบ 12 คะแนนไว้
คีแกน ก็เกิด “หลอน” กลัวรักจะพลาดท่าเสียทีให้ผีแดงครับ แกเลยขอบอร์ดบริหารในชุดนั้น ทุบกระปุกซื้อ “เจ้ากะเลงดำ” ฟาอุสติโน่ อัสปริย่า ที่ช่วงนั้นโด่งดังอยู่กับปาร์ม่า มาเสริมความคมในแดนหน้า

แล้วหากใครที่ยังพอจะกันได้นะครับ หลังจากที่หัวหอกกะเลงดำชาวโคลัมเบียย้ายมา ก็เหมือนเป็น
“ตัวซวย” ให้เพื่อนร่วมทีมทันทีในปีแรกที่ย้ายมา เพราะว่าก้มหน้าก้มตาเลี้ยง ลาก เลื้อย จนเพื่อนๆพากัน งงเต็ก ว่ามรึง จะเลี้ยงไปหนาย ลำพังดาวิด ชิโนล่า รับบท “พ่อบุญธรรม” เอ้ย “พ่อเลี้ยง” (ห้าม อมยิ้ม มุขความผมน่ะ อิอิ) คนเดียวไม่พอ เจ้า “ติโน่”อัสปริย่าดันมาช่วยเลี้ยงอีก ที่นี้ระบบทีมเวิร์คที่เคยเล่นกันมาดีๆก็พังน่ะซิครับ



ความมั่นใจที่เคยเต็มเปี่ยม เมื่อเริ่มสะดุด และผีแดงยังแรงไม่เลิก ทีนี้ทั้งนักเตะและกุนซือที่ตอนนั้นยัง “จิตอ่อน”+ “ติสต์แตก” ผลงานเริ่มแผ่วลง แผ่วลงเรื่อยๆ จน พลพรรค“Babe devils”พาทีมปาดหน้าแซงได้จริงๆอย่างที่คุยเอาไว้ ตั้งแต่นั้นมาคีแกนที่อนาคตทำท่าว่าจะรุ่งก็เริ่มสาละวันเตี้ยลง และเสียแชมป์ไปอย่างพลิกความคาดหมายแฟนบอลทั่วโลกและกูรูทุกสำนัก ขณะที่ป๋าเฟอร์กี้ ตั้งแต่นั้นมาก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “เจ้าแห่งสงคราม ประสาท” อันดับต้นๆของโลกลูกหนังจวบจนทุกวันนี้



ครับ จากวันนั้นถึงวันนี้ คีแกนเองก็ผ่านอะไรมามาก ประสบการณ์ ทั้งความสำเร็จ+ผิดพลาดในอดีต น่าจะช่วยให้การกลับมาคุมนิวคาสเซิ่ลครั้งนี้มีแต่ได้กับได้และถือเป็น Win-Win deal หรือเป็นผลดี สำหรับทั้งสองฝ่าย



ตัวเควิน คีแกนเอง ซึ่งเคยถึงขั้นประกาศเลิกอาชีพกุนซือไปหลังจากออกจากแมนฯซิตี้ฯเมื่อ 3 ปีก่อน Passion หรือ ความกระหายในความสำเร็จน่าจะลุกโชนในหัวใจ และอยากที่จะ “แก้ตัว” นำเกียรติ์ประวัติกลับมาสู่ ถิ่นเซนต์ เจมส์ ปาร์ค เพื่อตอบแทนความรักของชาวจอร์ดี้ที่มีต่อตัวเค้ามาโดยตลอด โดยส่วนตัวแล้วผมเชื่อครับว่าการกลับมาคุมทีมอีกครั้งของคีแกนในครั้งนี้เป็นเหตุผลเรื่อง ฟุตบอล และ ความผูกพันที่เจ้าตัวมีต่อสโมสรแห่งนี้ ล้วนๆ ไม่อย่างนั้นแล้วคนอย่างคีแกนคงไม่ยอมกลืนน้ำลายตัวเองแน่ๆ



ขณะที่นิวคาสเซิ่ล เองซึ่งจะด้วยเหตุผลท่านประธานใจร้อน เลยปลดกุนซือเป็นว่าเล่น หรืออะไรก็แล้วแต่ ถึงเวลานี้ ไมค์ แอชลี่ย์ต้อง Be patience หรืออดทน อย่างที่คีแกนออกมาวอนให้ อดทนรอ “ความสำเร็จ”สักนิดสำหรับการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง + ระบบ ทีมฯลฯ สไตล์ การเล่น & ซื้อผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามา ฯลฯ
เข้าใจ ไมค์ แอชลี่ย์และเห็นใจแฟนบอล “ทูน อาร์มี่”นะครับ เพราะนิวคาสเซิ่ลถือเป็น One-Club town คือทั้งเมืองมีนิวคาสเซิ่ลอยู่ทีมเดียวให้เลือกเชียร์ ไม่เหมือนอย่างลอนดอน แมนเชสเตอร์ หรือ ลิเวอร์พูล ที่แฟนบอลมี “ชอยส์”ให้เลือกชม เลือกเชียร์มากกว่า



Pressure (ความกดดัน) Expectation (ความคาดหวัง) เรื่องความสำเร็จของแฟนบอลเองรวมถึงตัวประธานสโมสรที่อยากจะเห็นแฟนบอลมีความสุข มันจึงค่อนข้าง “เข้มข้น” และ “รุนแรง” กว่าทีมอย่าง
อาร์เซนอล แมนฯยู และ ลิเวอร์พูล ที่แม้จะใหญ่กว่า แต่กดดันน่าจะเบาบางกว่าชาวจอร์ดี้พอสมควร



ที่สุดแล้ว ผมก็ขอยกมือขวาเห็นด้วยอย่างแรงกับการที่บอร์ดบริหารนิวคาสเซิ่ลตัดสินใจเลือก เควิน
คีแกนกลับมารับตำแหน่งนี้ในช่วงที่ทีมกำลังคับขัน ดีกว่าจะไปเอาขวัญใจชาวจอร์ดี้อีกคน อย่าง อลัน เชียร์เรอร์ มาเป็นแม่ทัพใหญ่ เพราะ “ฮอตชอต”นั้นควรจะมาเรียนรู้งานเป็น “มือขวา” คิง เคฟ พี่ใหญ่ไปก่อน แล้วจากนั้นพอมีประสบการณ์ + ความรู้พอดู แล้ว จะทำการใหญ่ก็คงไม่มีใครว่าหรือคัดค้าน



ผมเชื่อนะครับว่า อย่างๆน้อยคีแกนจะนำ “เอนเตอร์เทนนิ่ง ฟุตบอล” มาให้แฟนบอลสาลิกาดง
ได้ตื่นตา ตื่นใจ จากปรัชญาฟุตบอลสไตล์ “คิง เคฟ” ที่เน้นเกมรุก และดูสนุกกว่านิวคาสเซิ่ลในยุคของ แซม
อัลลาไดซ์ แน่นอนครับ รับประกัน !!


Friday 18 January 2008

โลกที่ไม่มีเธอ


ทุกๆนาทีที่ฉันได้ใช้เวลาที่มีค่าร่วมกับเธอ มันไม่เคยทำให้รู้สึกเสียใจเลย สักนิด
เพราะแม้ฉันจะต้องยอมแลก “เสียสละ” บางสิ่ง มันก็ไม่ทำให้ฉันลังเล ที่จะพบกับเธอในทุกๆวัน
วันของเรา…

จากที่เคยไม่มีจุดหมาย ปลายทาง เหมือนเรือไร้หลัก ในท้องทะเลที่ฟ้าฝนคะนอง
หันไปทางไหน ก็มืดมัว อ้างว้าง

เธอเปรียบดั่งแสงประกาย และ แรงบัลดาลใจ ให้ชีวิตฉันลุกขึ้นมา มีเรี่ยวแรงอีกครั้ง
รู้มั้ยว่าฉันมีความสุขแค่ไหน….

จากวันนั้น ถึงวันนี้ วันเวลามันช่างเร็วเหลือเกิน
จู่ๆ ก็ถึงเวลาที่เธอ และ เราต้องกล่าว “อำลา”

โลกของฉัน โลกของเราที่มีกันแค่สองคน
มาบัดนี้ ฉันจะต้องกลับมายืน โดดเดี่ยว อีกครั้ง ไร้เงาเธอเคียงข้าง

ห่วงว่า เธอจะเป็นอย่างไร ในวันที่ไม่มี “เรา”

“งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา” และ…
ได้แต่หวังว่า การกล่าวคำอำลาของ เราในครั้งนี้ จะเป็นการอำลาแค่ชั่วคราว
เพราะหากสวรรค์มีตา โชคชะตาเป็นใจ หวังเหลือเกินว่า เราจะได้พบกันอีกครั้ง…ณ ที่ใด ที่หนึ่ง บนโลกกลมๆใบนี้

ฉันคิดถึงเธอ…

Thursday 10 January 2008

กับ "เอฟเอ คัพ" ครั้งแรกที่ ไวท์ ฮาร์ท เลน


วันเสาร์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปประเดิมเกม "เอฟเอ คัพ" ให้ตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิตที่สนาม ไวท์

ฮาร์ท เลน ในแมตช์ สเปอร์ส-เรดดิ้ง ที่เมื่อสองอาทิตย์ก่อนทั้งสองทีม ก็เพิ่งจะพบกันและยิงกันน้ำกระจายสะใจลูกเด็กเล็กแดง 6-4
อย่างที่เราทราบๆ กันครับว่ากองหลังสเปอร์ส ตั้งแต่เปิดฤดูกาลมานั้นเล่นได้ "อนุบาล" มาก เพราะแนวรับที่ ขาด เลดลีย์ คิงไปนั้นส่งผลกับทีมมหาศาล

เซ็นเตอร์ฮาล์ฟอย่าง ยูเนส คาบูล และไมเคิล ดอว์สัน ก็ยังมี "ประสบการณ์" ไม่เยอะ และ "ไอ้หมูบิน" พอล โรบินสันที่แม้ช่วงนี้จะรีดน้ำหนัก (หวังจะกลับมาบิน^^) และดูซูบลงไป แต่ก็ยังผิดพลาดแบบต่อเนื่อง จนเส้นทางอนาคตมือหนึ่งชาติอังกฤษนั้นคงเป็นได้แค่ "อดีต" แน่ๆ

...สเปอร์สนั้นเคยเป็นถึงเจ้าแห่งบอลถ้วยโดยเฉพาะเอฟเอ คัพในอดีต และฮวนเด้ รามอส กุนซือใหม่ของ พวกเค้าก็ขึ้นชื่อในเรื่องการทำทีมบอลถ้วยตั้งแต่สมัยอยู่สเปนแล้วโดยได้แชมป์ยูฟ่า คัพ มาครองสองสมัย

ดังนั้นการที่ผลงานในลีกของพวกเค้ายัง "สามวันดีสี่วันแย่" แบบนี้ การได้แชมป์บอลถ้วยจึงเปรียบเสมือน "บันไดลัด" ให้ทีมได้ไปเล่นบอล ยูฟ่าโดยไม่ต้องจบอันดับ 1 ใน 6 ก็ได้

เกมนี้ฮวนเด้ รามอส ขนชุดใหญ่ลงสนามตามคาดครับ โดย 11 คนแรกนั้นถือว่าพร้อมหน้าพร้อมตา มากที่สุดแล้ว โดยขาดไปก็แค่ แกเร็ธ เบล แบ็กซ้ายวัยกระเตาะเพียง คนเดียว โดยเกมนี้ยังได้ "กัปตันคิง" กลับมาประจำแนว รับให้ทีมได้ด้วย

ขณะที่ทีมเยือนเรดดิ้งนั้น สตีฟ ค็อปเปลล์ ใช้ชุดผสมระหว่างตัวจริง และตัวสำรอง โดยผู้รักษาประตู ตัวจริงที่โดนยิงไป 6 เม็ดเกมก่อนอย่าง มาร์คุส ฮาห์เนมันน์ โดนดรอปในเกมนี้ ขณะที่สองกองหน้า เควิน ดอยล์ และเดฟ คิดสั้น เอ้ย...คิตสัน ก็ไม่ติดแม้แต่ตัวสำรอง

เห็นไลน์อัพแบบนี้แล้ว ผมอดยิ้มกรุ้มกริ่มแทนแฟนๆ สเปอร์สในสนามไม่ได้ครับ เพราะคิดว่าวันนี้คง ได้กินหมูแน่ๆ เนื่องจากเรดดิ้งจัดตัวเหมือนจะไม่เอา เพราะเล่นจัดตัวแบบลูกผสมมาแบบนี้ จะไปรอดได้ไง
แต่เดี๋ยวก่อนครับ ผมดันลืมนึกไปว่าทีม รักพร้อมที่จะเสียประตูให้กับ ทุกทีมแบบไม่เว้น วันหยุดราชการเสียด้วย เพราะเพียงแค่นาทีที่ 25 เรดดิ้งได้ลูกฟรีคิก ทางฝั่งขวาเหมือนจะไม่มีอะไร สตีเฟ่น ฮันท์ ตักบอลเข้ามาย้อยๆ ที่ประตู

แทนที่ "นายห้าง" โรบินสันจะปัดบอลทิ้งให้ข้ามคานออกไป หรือไม่ก็ชกออกไปให้พ้นถ้าไม่ชัวร์ อดีตมือกาวทีมชาติอังกฤษ ดันทะลึ่งพยายาม จะรับบอลเข้าตัว โดยหารู้ไม่ว่าตัวเองนั้นเข้า ไปในโกล์แทบทั้งตัวแล้ว โดยพยายามจับบอล และเหยียดมือออกไป ให้เหมือนกับว่าบอล ไม่ข้ามเส้นประตู

แต่การยืนรับบอลแบบนั้น และจังหวะก่ำกึ่งๆ แบบนี้ อีกทั้งไลน์แมน ไม่มีเวลาให้คิดเยอะจึงเป่าให้ลูกนั้น เป็นประโยชน์ของทีมเยือนไปแบบงงๆ คนดูในสนามรวมทั้งผมอย่างมาก

อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นอีกแค่สองนาที "เทพตอฟ" ก็รับบอลสุดสวยจาก แอรอน เลนนอน ที่วันนี้เล่นได้วูบวาบตลอดครึ่งแรก อัดเข้าเสาไกลแบบเหนือชั้นสุดปัญญาที่ อดัม เฟเดริชี่ จะรับได้

เกมในครึ่งแรกจบไปโดยที่เกมนั้นผลัดกันรุก และรับได้อย่างสนุก โดยสเปอร์สนั้นมีผู้เล่นสอง รายที่น่าจับมาติวการยิงประตูหน้ากรอบเขตโทษ หนึ่งกระทาชายนาม ร็อบบี้ คีน ที่ช่วงนี้แกดูจะ ไม่ค่อยมีความมั่นใจในการยิงประตูสักเท่าไร โดยในช่วง 5 นาทีแรกก็พลาดการซัดโล่งๆ ออกข้างไปอย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนอีกรายคือ "เจ้า JJ" เจอร์เมน จีนาสที่ผมดูแล้วยังไงๆ ก็สมควรหาคนมาแทนในตำแหน่ง "จอมทัพ"

โอเค จุดหนึ่งผมยอมรับครับว่าจีนาสเป็นนักเตะที่มีหน่วยก้าน และเบสิกบอลที่ดี แต่ไอ้เรื่องความมุ่งมั่นกับเกม และพร้อมจะวิ่งสู้ฟัดเพื่อทีมนั้น เท่าที่ผมตามดูฟอร์มแก มาตั้งแต่ย้ายมาสเปอร์ส บักหำ JJ แทบจะไม่มีให้เห็น

เกมในครึ่งเวลาหลังเล่นกันไปได้ 5 นาทีสเปอร์สก็มาได้จุดโทษ แต่จังหวะนี้ "คีนน้อย" ที่เป็นคนโดนรวบนั้นเหมือนจะโดน "แบน" จากการยิงจุดโทษเสียแล้ว หลังจากก่อนหน้านั้น หัวหอกไอริชพลาด จุดโทษมาสองครั้งติดๆ กัน และเป็นเบอร์บาตอฟ ที่ช่วงนี้กำลังเข้าฝักรับอาสาซัดเข้า ไปหายห่วง เจ้าบ้านนำ 2-1 โดยถึงตอนนี้ เป็นสเปอร์สครับ ที่เล่นได้วูบวาบน่ากลัวกว่า และน่าจะยิงเพิ่มได้อีกจาก "JJ" คนเดิมที่พลาดลูกแบบเดิมๆ อีกครั้งหลุดเข้าไปแต่ยิงถูกเซฟไว้ได้

ถึงตอนนี้จิตใจผมเริ่มไม่ดีครับ แม้จะนำอยู่ก็จริง แต่ในเกมฟุตบอลการนำแค่หนึ่งประตู และจวนเจียนจะยิงได้แต่ทำไม่ได้ ทั้งที่มี "โอกาส" มันทำให้ทีมคู่แข่งยังมีแสงแห่งความหวังอยู่ เพราะแม้เรดดิ้งจะโดนนวดเข้าไปหนักๆ แต่พวกเค้าก็ยังไม่โดนตอกฝาโลง

สิ่งที่ผมตงิดๆ ใจอยู่ ในที่สุดมันก็เกิด ขึ้นจนได้ครับในช่วงก่อนหมดเวลา 12 นาที เมื่อเรดดิ้งอาศัยจังหวะ Counter Attack และก็เป็น ลีรอย ลิต้า ที่ใช้ความเร็วลากผ่าน คิง ที่เกมนี้ยังดูไม่ฟิตเต็มถัง ยิงเรียดอัดมุมเหมือนบังคับให้โรบินสันต้องปัดออก มา และเป็น สตีเฟ่น ฮันท์ Man of the match ในเกมนี้จมูกไวตามเข้าซ้ำไปอย่างง่ายดาย

ครับเกมนี้จบลงไป 2-2 โดยเรดดิ้งที่มาแบบ "ชุดผสม" น่าจะทำได้ "ตาม เป้า" ที่ สตีฟ คอปเปลล์ นั้นวางไว้ เพราะจะได้กลับไปเล่นในถิ่นมาเดจสกี้ สเตเดี้ยม ของตัวเองในนัดรีเพลย์

ส่วน "ไก่เดือยทอง" สเปอร์สนั้นโทษ ใครไม่ได้จริงๆ นอกจากโทษตัวเองในเกมนี้ที่ไม่ยอมยิงประตู "ตอกฝาโลง" เพื่อปิดโอกาสไม่ให้ เรดดิ้ง "คัมแบ็ก" สู่เกมได้ และสิ่งที่ฮวนเด้ รามอสน่าจะทำในช่วงเปิด ตลาดรอบนี้ก็คือ หาเซ็นเตอร์ฮาล์ฟเก๋าๆ มาไว้อีกสักคน เพราะอาการที่หัวเข่าของเลดลีย์ คิง นั้นไม่มีใครทราบได้ว่าจะกำเริบเจ็บซ้ำอีกหรือเปล่า ขณะที่ตำแหน่ง "เพลย์เมกเกอร์" ดีๆ ไว้พึ่งพา และตัดสินเกมได้มากกว่าจีนาสก็ควรหามาทดแทน เพื่อแบ่งเบาภาระดิดิเยร์ โซโกร่าไม่ใช่ปล่อย ให้กองกลางไอวอรี โคสต์วิ่งเป็นหมาบ้าคนเดียวแบบนี้ในแผงกองกลาง

อย่างไรก็ดี ตอนนี้น่า หนักใจแทน ฮวนเด้ รามอสครับว่ากุนซือชาวสเปนนิชรายนี้จะแก้ไขปัญหา แนวรับ อย่างไรในสองนัดต่อไป เพราะพวกเค้าจะต้องออกไปเยือน อาร์เซนอลในเกมคาร์ลิ่ง คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศเลกแรกต่อด้วยการไปเยือนถิ่นสแตมฟอร์ดบริดจ์ ของเชลซี ในศึกพรีเมียร์ชิพในวันจันทร์หน้า (14 ม.ค. 2008)

เพราะหากว่าสเปอร์สยังเล่นได้แค่นี้ และยังแก้ปัญหา ในแนวรับไม่ได้ ผมเองแม้จะเป็นแฟน น้องไก่ก็คงต้องรับ สภาพแต่โดยดีละครับว่า เป็นเรื่องยากยิ่งกว่า "เข็นครกขึ้นภูเขา" เสียอีกที่จะเอาชนะ ไอ้ปืนโต และสิงห์สำอางในสองนัดที่จะถึงนี้ !!

Wednesday 2 January 2008

เก็บตกบรรยากาศสด "สแตมฟอร์ดบริดจ์"


ก่อนอื่นคงต้องขอ "สวัสดีปีใหม่" ท่านผู้อ่าน "Viva London" และขออวยพรปีใหม่ให้ทุกท่าน ไร้ซึ่งโรคภัย มีแต่ความสุข และคิดหวังสิ่งใดก็ขอ ให้ได้สมใจปรารถนา นะครับ

เป็นเวลาขวบปีกว่าๆ แล้วที่ผมมาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ รู้สึกใจหายครับเมื่อมองย้อนกลับไปเพราะจำ ได้ว่าเมื่อ ปีใหม่คราวก่อนผมยังถือว่าใหม่มาก กับประเทศนี้ และต้อง ปรับตัวพอสมควรกับอากาศในช่วงนี้ที่ถือว่าเป็นช่วง "พีก" ของความหนาวที่นี่

พูดถึงเรื่องความหนาวแล้ว ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่ารู้สึก หนาวแทน "บิ๊กแซม" แซม อัลลาร์ไดซ์ กุนซือชะตา ใกล้ขาดของ นิวคาสเซิลครับหลังจาก พ่ายแพ้ไปอีก หนึ่งนัดต่อเชลซี 2-1ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในเกมสุดท้ายก่อนปีใหม่

เกมนี้ผมได้ชมสดๆ จากขอบสนาม และทันทีที่ได้ Team sheet หรือรายชื่อ ผู้เล่นจากเจ้าหน้าที่ใน Press room แล้วก็อดห่วงนิวคาสเซิลไม่ได้จริงๆ เพราะว่ากุนซือของพวกเค้า นั้นเลือกใช้ระบบ 4-5-1 ซึ่งเหมือนกับสื่อเป็นนัยให้รู้ว่า วันนี้คงพอใจกับแค่หนึ่งแต้ม

นักข่าวหนุ่มชื่อ คุณเอียน จากสิงคโปร์ "เพื่อนใหม่" และถือเป็นเพื่อนคนแรกของผมใน Prees room เนื่องจากโดยปกติแล้ว นักข่าวฝรั่งที่นี่จะไม่ค่อยคุยกับเราซึ่งเป็นคนเอเชียก่อนครับ (ตามความคิดของผม) แต่นายเอียนนี้ดูท่าทาง "เฟรนด์ลี่" และเราได้ทักทายกันเล็กน้อยก่อนที่จะบังเอิญเจอกันอีกใน Press box เนื่องจากได้ที่นั่งติดกัน

เอียนถามทรรศนะผมครับว่าคิดอย่าง ไรกับไลน์อัพของเจ้าสาลิกาดงในเกมนี้ ผมคิดเป็นอังกฤษสักพักใหญ่ๆ (เนื่องจากกลัวแกรมม่าผิด อายเค้า ^_^) ก่อนตอบไปว่า "Itžs not easy for Chelsea" (เกมนี้ไม่ง่ายสำหรับเชลซี) เพราะว่า "บิ๊กแซม"นั้นคงพอใจกับหนึ่งแต้มที่ได้หลังจากฟอร์มในช่วงหลังๆ นั้นออกทะเลอย่างแรงโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งในแผงหลัง ขณะที่เชลซีเองตัวเจ็บเพียบนับไม่ถ้วนอย่างที่ทราบๆ กัน

ทรรศนะของเอียน ไม่ตรงกับผม แกบอก ว่าเกมนี้เชลซีน่าจะชนะ 2 ลูกขึ้นเพราะว่าหลัง นิวคาสเซิลนั้น Rubbish (ห่วยแตก) มากๆ
รูปเกมในช่วงต้นนั้นดูเหมือนว่าเชลซี นั้นเป็นเสือลำบาก จริงๆ เนื่องจากแผงกองกลางนิวคาสเซิล 5 ตัว ที่ "บิ๊กแซม" อัดลงมานั้นช่วยกันไล่บอลและบี้จนกองกลางเชลซี เล่นกันไม่ค่อยถนัดสักเท่าไหร่

กองกลางอย่าง อับดุลาเย่ ฟาย, อลัน สมิธ และนิคกี้ บัตต์นั้น "บู๊" เสียจนแผงกลางเชลซีในช่วงที่ไร้เงาแลม พาร์ด ไม่มีทีเด็ดกับลูกแถวสองเหมือนอย่างเคย และ ต้องอาศัยความ สามารถเฉพาะตัวของ โจ โคล และ ไรท์ ฟิลลิปส์ เจาะเข้าทำทางแบ็กทั้งสองข้างของนิวคาสเซิลแทน

อย่างไรก็ดี นิวคาสเซิลในเกมนี้ก็ยังผิดพลาดแบบ เดิมๆ ในแผงหลัง โดยเฉพาะคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ สตีเฟ่น เทย์เลอร์ และเคลาดิโอ กาซาปาที่ยืนตำแหน่งผิดพลาด และดูเหมือนจะไม่ได้รับการกระตุ้น และจัดระเบียบการยืนไลน์ที่ดีเท่าที่ควรจนเสียประตูแรก

เกมหลังจากนั้นก็เป็นเชลซีที่ครองเกม และเก็บบอล ไว้ได้เกือบทั้งหมดจนจบครึ่งแรก โดยในใจ ผมนั้นไม่ได้คิดแล้วว่านิวคาสเซิลจะกลับสู่เกมได้ เพราะดันทิ้ง โอบาเฟมี่ มาร์ตินส์ ไว้โดดเดี่ยวเหลือ เกินในแดนหน้าและ ไม่มีกองกลาง ที่คอยซัพพอร์ตเลย

ครึ่งหลังสิ่งที่ผมคิดนั้น "ผิดถนัด"ครับ เพราะนักเตะนิวคาสเซิลไม่รู้ไปได้ยาดีอะไรจาก "บิ๊กแซม" เพราะว่าวิ่งกันคึกเป็นม้า และตามตีเสมอได้อย่าง รวดเร็วจากนิกกี้ บัตต์ในนาทีที่ 54 โดยลูกนี้นั้น ทำให้กำลังใจ ของพลพรรคสาลิกาดงมีหวังที่จะได้ 1 คะแนน ออกจากสแตมฟอร์ด บริดจ์ตามที่อัลลาร์ไดซ์ต้องการนั้นมีโอกาสไม่น้อย

ผลเสมอในเกมนี้น่าจะ "ยุติธรรม" ที่สุดสำหรับทั้งสองทีมเนื่อง จากเชลซีเองก็เล่นไม่ได้เหนือกว่า มากในครึ่งเวลาหลัง และบางครั้งฟุตบอลก็ดูช่างโหดร้าย สำหรับทีมที่ต้องเสียประโยชน์จาก "ความผิดพลาด" ของผู้ตัดสินอย่างที่นิวคาสเซิลได้รับในเกมนี้
บิ๊กแซมให้สัมภาษณ์หลังเกมรับ ฟุตบอลยุคใหม่ควร จะใช้ภาพช้าช่วยตัดสินเกมได้แล้วประตูที่นิวคาส เซิลเสียในนาทีที่ 87 นั้นเห็น ได้ชัดครับว่า คาลู "ล้ำหน้า" แต่ไลน์แมน ไมค์ เครนส์ ไม่ได้ยกธงขึ้น

ชัยชนะของเชลซีใน เกมนี้จึงถือว่า "เฮง" มากๆ ที่เก็บ 3 คะแนนได้แม้จะขาดตัวผู้เล่นหลักๆ ไปครึ่งค่อนทีมแบบนี้ ขณะที่นิวคาสเซิลของบิ๊กแซมนั้นก็ "ดวงแตก" สุดๆ เช่นกันที่ไม่ได้สักแต้มกลับบ้านให้แฟนๆ เป็นของขวัญ ส่งท้ายปีให้ชาวจอร์ดี้ชื่นใจ

อย่างไรก็ดี ผมมองว่า หากเชลซียังเล่นได้แค่นี้ใน ช่วงที่รอตัวเจ็บ กลับมาพวกเค้าอาจจะลำบาก ในการลุ้นตำแหน่ง แชมป์กับ อาร์เซนอล ที่ยังดูน่ากลัวไม่มีตก และเก็บ 3 แต้มได้ในวันเดียวกัน ในขณะที่แมนฯยูฯ ที่แม้จะแพ้ให้เวสต์แฮม แบบช็อกเล็กๆ 1-2 ก็ยังน่ากลัวกว่าเชลซีมากในแนวรุก

ส่วนตัวแล้วนั้นผม อยากจะเห็น นิโกลาส์ อเนลก้า หรือกองหน้าตัวปิดสกอร์แจ่มๆ สักรายย้ายเข้ามาสวมเครื่องแบบเชลซีใน ช่วงเปิดตลาดนี้ เพราะเชื่อว่าการขาดดร็อกบาไปในช่วงนี้ต่อ ด้วยแอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ นั้นควรจะมีตัวตายตัวแทน ที่คุณภาพใกล้เคียงหรือสูสีไว้ไม่ให้ส่งผลกระทบ กับการชิงชัยในช่วงครึ่งทางหลังที่เหลืออยู่ของศึกพรีเมียร์ ชิพ

ขณะที่ นิวคาสเซิล "เหยื่อ" ของความผิดพลาด ของผู้ตัดสิน ในเกมนี้ก็ต้องหาความลงตัว ของทีมให้เจอเพราะ ตั้งแต่เปิดฤดูกาลมาพวกเค้ายัง ไม่มีทีมที่เล่นด้วยกันหลายๆ นัดติดกันเลยเนื่องจาก "โรคเดี้ยง" ของนักเตะหลักหลายต่อหลายคน
พวกเค้าจะน่ากลัว มากกว่านี้เยอะหาก ไมเคิล โอเว่น กลับมาฟิตเต็มสูบ และกลับมาเป็นกำลังหลัก ตอบแทน ความไว้ใจแฟนๆ ที่เชื่อมั่นในตัวเค้ามากเหลือเกิน อันสังเกตได้จากเกมนี้ที่แฟนๆ ตะโกนเรียกชื่อเจ้า ตัวเสียงดังสนั่นตอน ที่ถูกเปลี่ยนตัวลงสนามในนาทีที่ 75

สรุปแล้ว ผมเชื่อนะครับว่าหากท่านประธานไมค์ แอชลีย์ไม่ด่วนใจร้อนปลด "บิ๊กแซม" และให้เวลากุนซือ จอมปาเป้าปรับ แต่งทีมให้ลงตัวกว่านี้อีกสักนิด
นิวคาสเซิลน่าจะ Back on track หรือคืนฟอร์มได้ เพราะตัวผู้เล่น และโครงสร้างทีมไม่ได้เป็นรอง ทีมอย่างแมนฯซิตี้ หรือเอฟเวอร์ตันที่กำลัง ฮอตฮิตติดลมบนในเวลานี้แม้แต่นิดเดียว




ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 3086